บทที่ 6 เจตคติ/ค่านิยม/วัฒนธรรมองค์การ
ความหมายของคำว่าเจตคติ
แชพแมน (Chapman, 1992, p. 12) นิยามคำว่า เจตคติ (Attitude) ว่า “เป็นชุดความคิดที่ทำให้คนกระทำการต่อสิ่งเร้าที่ได้รับในลักษณะนิสัย
ที่สามารถทำนายได้” ชี้ให้เห็นว่า
เราพัฒนาขุมความคิดเป็นชุดๆ ที่เป็นเหตุให้ตีความสิ่งที่เห็น
หรือรู้สึกต่อสภาพแวดล้อมที่สามารถบ่งบอกได้ล่วงหน้า หรืออีกนัยหนึ่ง
คนตอบโต้สถานการณ์ด้วยการตัดสินใจไว้ล่วงหน้า อันเป็นผลมาจากชุดความคิด-เจตคติ ที่ก่อร่างขึ้นมานั่นเอง
คลีเมนตส์ (Clements,
1995, p. 15) กล่าวว่า การให้คำนิยามคำว่า “เจตคติ”
ได้ยากยิ่งในหลายปีที่ผ่านมา
นักจิตวิทยาหลายคนพยายามให้คำจำกัดความคำว่า “เจตคติ”
ว่าควรมีลักษณะ ดังนี้
1.) เป็นความเชื่อหรือความคิดที่มีจิตสำนึกรับรู้
2.) อาจเป็นทางบวก
หรือทางลบ หรือเป็นกลางๆ
3.) เปลี่ยนแปลตามอารมณ์
หรืออย่างน้อยที่สุดก็มีอารมณ์เป็นเจ้าเรือน
4.) กระตุ้นให้เกิดการกระทำ
รังสรรค์ ประเสริฐศรี (2548, หน้า 68) ใช้คำว่า “ทัศนคติ” แทนคำว่า เจตคติ (Attitude) โดยนิยามคำว่า ทัศนคติ (Attitude) คือ การประเมินหรือตัดสินเกี่ยวกับความชอบหรือไม่ชอบในวัตถุ คน หรือเหตุการณ์ ซึ่งจะสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกของคนคนหนึ่ง เกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างหรือเป็นท่าที หรือแนวโน้มของบุคคลที่แสดงต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นบุคคล กลุ่มคน ความคิด หรือสิ่งของก็ได้ โดยมีความรู้สึกหรือความเชื่อเป็นพื้นฐาน ปรากฏดังภาพ
ดังนั้น จึงอาจสรุปนิยามคำว่า เจตคติ
ว่าเป็นวิธีสื่ออารมณ์ความรู้สึกต่อคนอื่น เมื่อมองด้านบวกและคาดการณ์ล่วงหน้าว่าจะเผชิญความสำเร็จ
จะส่งเจตคติทางบวกออกไป คนรับก็จะตอบรับอย่างชื่นชม
เมื่อมองด้านลบและคาดการณ์เลวร้าย ก็มักส่งเจตคติด้านลบออกไป
คนรับต่างๆจะพยายามหลีกห่าง เจตคติเป็นสิ่งที่อยู่ในสมอง เจตคติเป็นชุดความคิด
เป็นทางที่คนมองสิ่งต่างๆทางความคิด แล้วแสดงความรู้สึกชอบหรือไม่ชอบ ต่อบุคคล
วัตถุ ความคิดหรือเหตุการณ์ต่างๆ เจตคติเป็นตัวการทำให้คนแสดงพฤติกรรม ดังนั้น
การเข้าใจเรื่องเจตคติ ทำให้สามารถเข้าใจและรู้ท่าที พฤติกรรมของคนได้
องค์ประกอบของเจตคติ
เจตคติ ประกอบด้วยความรู้ อารมณ์
ความรู้สึก แล้วจึงแสดงเป็นท่าที เป็นพฤติกรรมที่แสดงออกมา
ดังที่แอลดากและกูซูฮารา (Aldag
& Kuzuhara, 2001, pp. 106-107) กล่าวว่า เจตคติมีองค์ประกอบ 3
ประการ คือ
1.) ด้านความรู้ความเข้าใจ
(Cognitive Component)
เป็นความรู้หรือความเชื่อมั่นอันเป็นผลมาจากประสบการณ์ จากการเรียนรู้
สิ่งที่ได้รับจากสภาพแวดล้อม ที่บุคคลมีต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด เช่น
มีเจตคติที่ไม่ดีต่อคนที่เป็นโรคเรื้อน เพราะคนที่เป็นโรคเรื้อนเป็นที่น่ารังเกียจ
จะทำให้คนที่อยู่ใกล้ติดโรคได้ หรือมีเจตคติที่ไม่ดีต่อคนที่อยู่เฉยๆ
ไม่ทำงานโดยเข้าใจว่าคนดังกล่าวเป็นคนเกียจคร้านและไม่สู้งาน
2.) ด้านอารมณ์และความรู้สึก
(Affective Component) เป็นการแสดงความรู้สึก สภาพอารมณ์
ความนึกคิด หรือความรู้สึกอันได้จากการประเมินสิ่งที่ได้เรียนรู้มา
แล้วแสดงเป็นความชอบ ความไม่ชอบ ความถูกใจ ความไม่ถูกใจหรือไม่ชอบ พอใจหรือไม่พอใจ
ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด
ตามประสบการณ์ที่ตนได้มาในทางบวกหรือทางลบและเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย เช่น
เห็นหลอดยาสีฟันบีบบุ๋มกลางหลอดก็โกรธ ด้ยินคำว่าศีรษะล้านก็โมโห
3.) ด้านพฤติกรรม (Behavioral
Component) หมายถึงแนวโน้มของคนที่จะแสดงออกซึ่งพฤติกรรมหรือปฏิบัติต่อสิ่งที่ตนชอบหรือไม่ชอบ
พอใจ ไม่พอใจ อันเป็นผลมาจากความรู้ ความรู้สึกนึกคิด
ความเชื่อของคนนั้นที่มีต่อสิ่งนั้นๆ
อาจเข้าหาหรือแสวงหาหรืออาจถอยหนีหรือปฏิเสธก็ได้ เช่น เมื่อไม่พอใจจะกระทืบเท้า
จะลุกหนี หรือกล่าวถ้อยคำไม่สุภาพ
การปรับเจตคติ
เนื่องจาก คนมีแนวโน้มมีเจตคติด้านลบ
จึงต้องมีการปรับเจตคติของคนเสมอ เพื่อผดุงเจตคติด้านบวก ดังที่แชพแมน (Chapman,
1995, pp. 29-63) ได้กล่าวว่า ในการปรับเจตคติมี 8 วิธี คือ แผ่นพลิก เล่นด้านชนะ คงความเรียบง่าย สร้างเกาะกำบัง
ให้เจตคติบวกกับคนอื่น มองดูตัวเองดีขึ้น ยอมรับสภาพร่างกายมีส่วนเชื่อม
และกระจ่างชัดภารกิจตน โดยมีวิธีการ ดังนี้
1.) วิธีปรับเจตคติ 1
แผ่นพลิก
2.) วิธีปรับเจตคติ 2
เล่นด้านชนะ
3.) วิธีปรับเจตคติ 3
การคงความเรียบง่าย
4.) วิธีปรับเจตคติ 4
สร้างเกราะกำบัง
5.) วิธีปรับเจตคติ 5
ให้เจตคติด้านบวกแก่คนอื่น
6.) วิธีปรับเจตคติ 6
มองดูตัวเองดีขึ้น
7.) วิธีปรับเจตคติ 7
ยอมรับสภาพร่างกายมีส่วนเชื่อม
8.) วิธีปรับเจตคติ 8
กระจ่างชัดภารกิจตน
การมองภาพ
ใช้ภาพจริง ภาพถ่าย หรือสัญลักษณ์ หรือภาพในความคิดให้เห็นภาพรางวัลแห่งความสำเร็จ
ความสำเร็จตามเป้าหมาย หรือภาพที่ต้องการให้เกิดขึ้นจริง อาจใช้ภาพถ่ายจากนิตยสาร
หนังสือพิมพ์ ใบปลิว แผ่นพับ บรรยายสิ่งที่ต้องการได้ดำรงตำแหน่งที่นั้น เช่น
1.)
อาคารองค์การสหประชาชาติ
2.)
อาคารอันเป็นที่ตั้งของสำนักนายกรัฐมนตรี
3.)
เห็นภาพตนเองสวมเสื้อผ้าชุดตำแหน่งนั้น หรือสวมครุยปริญญา
4.) นักบาสเกตบอลมองเห็นภาพตนเองโยนบอลลงห่วงทุกครั้ง
5.) นักมวยเห็นภาพตนเองชกคู่ต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว
ตรงชัด
การมองเห็นภาพหรือการใช้ภาพเพื่อให้มองเห็น
ช่วยเป็นเครื่องกระตุ้นปลุกเร้าให้เกิดการกระทำไปสู่ความจริง
นอกจากนั้นยังอาจติดภาพที่ต้องการเป็นต้องการทำต้องการมีไว้ที่บอร์ดในบ้าน
ที่ทำงาน เพื่อให้เตือนตน ติดภาพไว้ที่กระจกเพื่อจะได้มองเห็นบ่อยๆ
มองเห็นภาพในจินตนาภาพ ในสิ่งที่ได้รับความสำเร็จได้ปริญญา
ได้รับรถยี่ห้อที่ใฝ่ฝัน เมื่อมองเห็นภาพจะทำให้เกิดการกระทำอย่างเชื่อมั่น
แล้วจะได้รับสิ่งที่ตั้งเป้าหมายไว้
ความหมายของค่านิยม
ความคิดของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ที่เห็นว่าเป็นสิ่งที่พึงปรารถนา ซึ่งมีผลต่ออารมณ์และการแสดงออกของบุคคล
อาจเรียกสิ่งนั้นได้ว่าค่านิยม ค่านิยมมีอิทธิพลและความหมายต่อการเลือก
และเป็นจุดหมายปลายทางในการกระทำ
โดยบุคคลจะมีจุดมุ่งหมายหรือการกระทำหลังจากที่ได้ประเมินค่าแล้ว
มีผู้ให้ความหมายของคำว่า ค่านิยม (Value) ไว้หลายท่าน เช่น
แอลดาก และ กูซูฮารา (Aldag &
Kuzuhara, 2001, p. 346) กล่าวว่า “ค่านิยม
คือมาตรฐานส่วนตัวที่ฝังลึก อันมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจทางศีลธรรม
การตอบโต้ต่อผู้อื่น และความมุ่งมั่นต่อเป้าหมายส่วนตัวและเป้าหมายขององค์การ
ค่านิยมหรือคุฯค่าเป็นหินรองวัฒนธรรมองค์การ
ให้ผู้ปฏิบัติงานรู้ว่าตนถูกคาดหวังเช่นไร หากพฤติกรรมและการกระทำใดเป็นที่พึงปรารถนา
ยอมรับได้ ก็จะทำเช่นนั้น เช่น คุณค่าหลักขององค์การ คือ ความเป็นผู้นำ คุณธรรม
ความไว้วางใจ ความยินดีในชัยชนะและความเป็นเจ้าของ
ก็จะสื่อคุณค่าเหล่านี้จนฝังอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ในการกระทำของผู้ปฏิบัติงาน”
วัฒนา พัฒนพงศ์ (2546,
หน้า 68) นิยามคำว่าค่านิยมว่า “บางทีเรียกว่า คุณค่า หมายถึง ความเชื่อว่าสิ่งนั้น สิ่งนี้มีคุณค่า
สมแก่การแสวงหาและยึดครอบครองไว้เป็นสมบัติของตน หรือมอบให้แก่คนที่ตนรัก
ค่านิยมอาจเป็นเรื่องของวัตถุ สิ่งของที่จับต้องได้ เช่น ทองคำ พลอย
จึงมอบสิ่งเหล่านั้นให้อก่คนที่ตนรัก อาจเป็นเรื่องของจิตใจ ความนึกคิด
หรือความประพฤติ เช่น ความซื่อสัตย์
ความกตัญญูและความกล้าหาญเป็นการกระทำที่ยึดถือว่ามีคุณค่า”
เชอร์เมอร์ฮอร์น, ฮันต์และออสบอร์น (Schermerhorn, Hunt & Osborn, 1997 , p.
57) กล่าวสรุปได้ว่า ค่านิยมเป็นคุณค่า
ค่านิยมเป็นความชอบเกี่ยวกับวิถีทางที่เหมาะสมในการกระทำ หรือผลลัพธ์
คุณค่าสะท้อนให้เห็นถึงความสำนึกว่า ถูก ผิด หรือควรเป็นเช่นนั้น เช่นนี้ เช่น
สิทธิเสมอภาคสำหรับทุกคน คนควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพและสง่างาม ค่านิยม หรือคุณค่ามักมีอิทธิพลต่อเจตคติและพฤติกรรม
เช่น
ถ้ายึดถือสิทธิเสมอภาคสำหรับทุกคนแล้วไปทำงานในองค์การที่ผู้จัดการได้สิทธิเหนือผู้ปฏิบัติงาน
ก็จะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ไม่อยากทำงานที่นั่น หากองค์การให้ความเสมอภาคจริงจัง
เจตคติและพฤติกรรม ก็จะเป็นทางบวกยิ่งขึ้น
ค่านิยม
เป็นความเชื่อเกี่ยวกับสิ่งที่พึงปรารถนา หรือเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนา
โดยสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกนึกคิด และสิ่งที่สมาชิกในสังคมยึดถือร่วมกัน
บุคคลใดยอมรับค่านิยมใดเป็นของตน ค่านิยมนั้นก็เป็นเป้าหมายในชีวิตของบุคคลนั้น
ค่านิยมจึงหมายถึงรูปแบบความเชื่อ ที่แต่ละคนยึดถืออยู่ว่า ควรปฏิบัติตนอย่างไร
หรือสิ่งใดมีคุณค่า ไม่มีคุณค่า ค่านิยมแตกต่างจากเจตคติและความเชื่อ เพราะว่า
ค่านิยมมิได้เกี่ยวข้องกับสิ่งของ บุคคลหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเฉพาะอย่าง
แต่ค่านิยมสัมพันธ์กับทุกสิ่งโดยทั่วไป และมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคล
ค่านิยมยังมีความหมายเป็นมาตรฐานในการตัดสินว่าสิ่งใดเลว หรือดี
และใช้ในการตัดสินพฤติกรรมของแต่ละบุคคลด้วย
สรุปแล้วจะเห็นได้ว่า ค่านิยม คือ
สิ่งที่บุคคลยึดถือปฏิบัติ เป็นรูปแบบของความเชื่อที่แต่ละคนยึดถือว่า
ควรจะปฏิบัติหรือไม่ควรปฏิบัติอย่างไร พิจารณาเลือกสรรแล้วว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่า
ก็จะปฏิบัติหรือยกเว้นการปฏิบัติ ค่านิยมมีอิทธิพลต่อการแสดงพฤติกรรมของบุคคล
และยังเป็นสิ่งสำคัญขั้นพื้นฐานในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของบุคคล
เพราะพฤติกรรมหรือการแสดงออกต่างๆ ของบุคคลย่อมขึ้นอยู่กับลักษณะค่านิยมที่บุคคลนั้นมีอยู่
องค์ประกอบของค่านิยม
ค่านิยม ประกอยด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ คือ
1.) พุทธิพิสัย (Cognitive
Component) ได้แก่ ความรู้ ความเข้าใจ ความคิด บุคคลต้องมีความรู้
มีประสบการณ์ในพฤติกรรม
ได้รับข้อมูลที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นก่อนจึงเกิดค่านิยมขึ้น
2.) จิตพิสัย (Affective
Component) หมายถึง ความรู้สึกพอใจหรือไม่พอใจ ชอบหรือไม่ชอบ
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย หรือเห็นว่าดีหรือไม่ดี ยอมรับหรือไม่ยอมรับ
3.) ทักษะพิสัย (Behavioral
Component) หมายถึง
แนวโน้มหรือท่าทีที่จะเลือกตอบสนองในแง่ของการยอมรับ หรือไม่ยอมรับ เห็นด้วย
หรือไม่เห็นด้วย เต็มใจ หรือไม่เต็มใจ
ค่านิยมของคนเราจะฝึกลึกอยู่ในความรู้สึกนึกคิด
หรือความเชื่อเป็นตัวกำหนดแนวทางพฤติกรรมของคนเรา ดังนั้น
เมื่อคนเราถูกกระตุ้นด้วยสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะแสดงพฤติกรรมตามแนวทางหรือทิศทางของค่านิยมของตนเอง
ค่านิยมต่างๆของคนจะมีองค์ประกอบ 3 ประการ อยู่เสมอ แต่อาจเป็นสัดส่วน หรือเน้นหนักแตกต่างกันออกไป
ค่านิยมบางอย่างอาจเกิดจากความรู้ ความเข้าใจเป็นหลัก มีอารมณ์อยู่เป็นส่วนน้อย
ค่านิยมบางอย่างอาจเกิดขึ้นจากประสบการณ์ด้านอารมณ์รุนแรงมากกว่าความรู้ ถ้าองค์ประกอบด้านความรู้
ความเข้าใจ หรืออารมณ์เปลี่ยนแปรไป ย่อมมีผลในแนวโน้ม
หรือท่าทีของการแสดงพฤติกรรมออกมานั้นเปลี่ยนแปรไปด้วย
กระบวนการเกิดและพัฒนาการของค่านิยม
ค่านิยม เกิดจากการเรียนรู้
ประสบการณ์ตั้งแต่วัยเด็ก จากสิ่งแวดล้อม ในบ้านจะรับเอาค่านิยมต่างๆจากบิดา มารดา
บุคคลรอบๆตัว เมื่อเข้าโรงเรียนก็จะรับเอาค่านิยมจากโรงเรียน
จากสถาบันทางสังคมอื่นๆ เช่น สโมสร วัด กลุ่มเพื่อนๆ ตลอดจนการสื่อสารมวลชนต่างๆ
ถ้าค่านิยมส่วนที่รับรู้ใหม่ๆ แตกต่างจากที่เคยมีมาก่อนจากบิดา มารดา
แล้วพอใจค่านิยมใหม่ ก็จะทิ้งค่านิยมบางอย่างไป
แล้วรับเอาค่านิยมใหม่ที่ตรงกับความต้องการ ขณะเดียวกันค่านิยมก็มาจากความเชื่อ
เจตคติ ส่วนประกอบที่สำคัญของพฤติกรรมที่แสดงว่าเกิดค่านิยมขึ้น ได้แก่
การเกิดแรงจูงใจ ความสนใจ ความนิยมชมชอบ หรือบุคลิกภาพที่แท้จริง
ค่านิยมนั้นจะอยู่ภายใต้บรรทัดฐานของสังคมหนึ่ง
ซึ่งสามารถยึดมาเป็นมาตรฐานการดำเนินชีวิตของตนต่อไป ดังกระบวนการเกิดค่านิยม
ว่าเกิดจากความรู้สึกแล้ววิวัฒน์ไปจนการปฏิบัติ
จากภาพ แสดงให้เห็นถึงกระบวนการเกิดค่านิยม ดังนี้
1.) ความรู้สึก
มีความรู้สึก สะดุดใจจากสิ่งที่ตนได้พบได้ยิน หรือเคยมีประสบการณ์ เกิดการรู้สึกนึกคิดในค่านิยมที่ตนมีอยู่
2.) ความคิดเห็น หมายถึง
ระดับความจำ การแปลความ การตีความ เนื่องจากเกิดความรู้สึกสะดุดใจ
ซึ่งจะเกิดจากความรู้และเป็นความคิดเห็นประเภทใดประเภทหนึ่ง หรือคล้องรวมกัน
3.) การติดต่อสื่อสารและการถ่ายทอด
วิธีนี้สามารถทำได้โดยคำพูด หรือโดยทางอื่น เช่น การส่งข่าวโดยถ้อยคำที่เขียน
การฟัง การวาดรูป การถาม การให้ข้อมูลย้อนกลับ การแก้ปัญหา
4.) การเลือกเชื่อและเกิดศรัทธา
ขั้นตอนนี้ เป็นการพิจารณาเพื่อหาข้อสรุปจากทางเลือกต่างๆ
การพิจารณาสิ่งที่เกี่ยวข้อง ทั้งที่ชอบและไม่ชอบ การนิยมชมชอบร่วมกัน
จะทำให้ตนเลือกเชื่อและเกิดศรัทธาในการพึ่งตนเองว่าเป็นสิ่งที่ดี
และยึดมั่นไว้ในใจ
5.) การปฏิบัติ
เป็นขั้นตอนที่ทำตามซ้ำกับที่เคยทำมา หรือจากที่เลือกใหม่
เมื่อมาถึงขั้นตอนนี้จะเกิดความเชื่อมั่น และมีศรัทธาในพฤติกรรม
ก็จะพยายามถ่ายทอดความเชื่อมั่นนี้มาเป็นความพยายามที่จะประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง
เป็นพฤติกรรมที่สังคมเห็นได้ของบุคคลนั้น
ความหมายของวัฒนธรรมองค์การ
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
อันตรงข้ามกับธรรมชาติที่เกิดขึ้นเอง วัฒนธรรมเป็นกรอบให้มนุษย์นึกคิด
ยึดถือปฏิบัติหรือเว้นปฏิบัติ ทำให้คนและองค์การนึกคิด แสดงออกไปตามวัฒนธรรม
มีผู้ให้ความหมายของคำว่า วัฒนธรรมองค์การหลากหลาย ดังนี้
ลูธันส์ (Luthans, 1998, p. 549) ให้ความหมายว่า วัฒนธรรมองค์การ
ว่าเป็นคุณค่าที่พัฒนาได้จากการจัดการกับปัญหา การปรับตัวและการคล้องรวม
อันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น จนเป็นรูปแบบสมมุติฐานเบื้องต้น
ให้สมาชิกใหม่ได้รับรู้ว่า เป็นทางที่ถูกต้องที่จะรับรู้
คิดและรู้สึกไปปฏิบัติต่อปัญหาทั้งหลายในองค์การ
วิเชียร วิทยอุดม (2547, หน้า 397-398) ให้ความหมายของคำว่า
วัฒนธรรมองค์การว่า “เป็นระบบความเชื่อร่วมกันของสมาชิกในองค์การ,
เป็นแนวทางที่เราทำสิ่งต่างๆ โดยรอบบริเวณเหล่านี้, เป็นการรวบรวมโปรแกรมของจิตใจและเป็นกลุ่มแนวร่วมของความเชื่อที่ยืนยาว
ซึ่งติดต่อสื่อสารผ่านรูปแบบต่างๆของสื่อสัญลักษณ์
และการสร้างความหมายในชีวิตการทำงานของคน”
รังสรรค์ ประเสริฐศรี (2548,
หน้า 201) นิยามคำว่า วัฒนธรรมองค์การ ว่า
หมายถึง “แนวทางที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันในองค์การ
ซึ่งวัฒนธรรมองค์การจะมีอิทธิพลต่อทัศนคติและพฤติกรรมของสมาชิกในองค์การ
หรือหมายถึงโครงร่างเกี่ยวกับความรู้ ความเข้าใจ ประกอบด้วย 1.) ทัศนคติ 2.) ค่านิยม 3.) บรรทัดฐานด้านพฤติกรรม
4.) ความคาดหวังที่กำหนดร่วมกันโดยสมาชิกขององค์การ หรือ
หมายถึง ระบบของ (1) การปฏิบัติร่วมกัน (2) ค่านิยมร่วมกัน (3) ความเชื่อร่วมกัน ซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นภายในองค์การและชักนำพฤติกรรมของสมาชิกหรือหมายถึง
(1) ค่านิยม (2) ความเชื่อ (3) บรรทัดฐาน ซึ่งกำหนดโดยสมาชิกขององค์การ ดังนั้นวัฒนธรรมขององค์การ
จึงประกอบด้วย (1) ค่านิยม (2) ความเชื่อ
(3) ความเข้าใจ (4) บรรทัดฐาน (5) สัญลักษณ์ (6) พิธีต่างๆ (7) เรื่องเล่า
(8) การปฏิบัติ ที่พนักงานรับรู้และตอบสนองต่อองค์การของเขา
เมื่อเผชิญกับปัญหา วัฒนธรรมองค์การจะควบคุมสิ่งที่พนักงานสามารถทำได้
โดยเสนอแนะถึงวิธีที่ดีที่สุด การกำหนดแนวคิด การวิเคราะห์และการแก้ปัญหา”
กล่าวโดยสรุป
วัฒนธรรมเป็นแบบอย่างการดำรงชีวิตของกลุ่มคน
ซึ่งกำหนดบทบาทและพฤติกรรมที่ประกอบด้วย ความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ทัศนคติ
เป็นต้น ที่รวมกันเป็นแบบแผนของชีวิต มีการยึดถือปฏิบัติสืบต่อกัน
จนเป็นแบบอย่างให้เห็นชัดเจน จนกลายเป็นวัฒนธรรม
ที่ถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง
จากความหมายของของ “วัฒนธรรม” ซึ่งเป็นแบบแผนการดำเนินชีวิตที่กำหนดบทบาท
และพฤติกรรมของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันในสังคมหนึ่งๆนั้น
มาสู่แบบแผนการดำเนินชีวิตในการทำงานของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันภายในองค์การ
ซึ่งแบบแผนในด้านความคิด ความเชื่อ ค่านิยม ที่บุคคลนั้นมีต่อองค์การ
ผลกระทบโดยตรงต่อประสิทธิภาพในการดำเนินงานขององค์การ
โดยเป็นตัวแทนของแบบแผนที่ซับซ้อนของความเชื่อและการแบ่งปันสิ่งที่คาดหวัง
ประกอบด้วย
1.) การแสดงออกที่คล้ายคลึงกันของพฤติกรรมผู้ปฏิบัติ
2.) การกระจายบรรทัดฐานไปทั่วทั้งองค์การ
3.) มีค่านิยมขององค์การที่ยึดถือกันอย่างเหนียวแน่นหรือเข้มแข็ง
4.) มีการเน้นปรัชญาองค์การ
5.) มีกฎเกณฑ์เพื่อการดำเนินงาน
6.) มีการแสดงออกด้วยบรรยากาศขององค์การ
วัฒนธรรมองค์การของดีลและเคเนดี้
ดีล และ เคเนดี้ (Deal &
Kenedy, 1988) ได้สำรวจบริษัทหลายร้อยบริษัท
และได้บ่งชี้วัฒนธรรมเป็นสี่ประเภท คือ วัฒนธรรมบึกบึน วัฒนธรรมทำหนัก/เล่นหนัก
วัฒนธรรมเดิมพันองค์การ และวัฒนธรรมแบบกระบวนการ
วัฒนธรรมเหล่านี้
ตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดของการเสี่ยงที่พ่วงกับกิจกรรมขององค์การและความรวดเร็วของการตอบกลับที่ได้รับจากลูกค้า
อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนทั้งสองยอมรับว่า
ไม่มีองค์การใดที่จะเป็นแบบหนึ่งแบบใดไปทั้งหมาด
หลักใหญ่ใจความของการแบ่งเช่นนี้เพื่อให้ฝ่ายบริหารทราบว่าตนตระหนักวัฒนธรรมใดในองค์การ
อย่างไรก็ตาม แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีองค์การใดจะมีรูปแบบวัฒนธรรม
รูปแบบหนึ่งใดโดยเฉพาะ แต่จะมีวัฒนธรรมทั้ง 4 รูปแบบ แผนกการตลาด
จะมีวัฒนธรรมบึกบึน แผนกผลิต จะทำงานหนักสนุกสนาน แผนกวิจัยและพัฒนา
จะมีวัฒนธรรมที่เสี่ยงสูง รู้ผลช้า ส่วนแผนกบัญชีและการเงิน
ต้องปฏิบัติทุกอย่างตามขั้นตอน
1.) วัฒนธรรมบึกบึน
เป็นวัฒนธรรมที่นิยมความเสี่ยงสูง
ตอบกลับรวดเร็วเรื่องความมีประสิทธิผลของการปฏิบัติงานของตน ตำรวจ แพทย์
ที่ปรึกษาทางการบริหาร และอุตสาหกรรมบันเทิง อาจแสดงออกในวัฒนธรรมบึกบึน ลักษณะของวัฒนธรรมบึกบึนคือกระทำรวดเร็ว
สั้นๆ ก่อให้เกิดแรงกดดันสูง เพื่อบรรลุความสำเร็จในระยะสั้น
องค์การที่มักมีลักษณะเช่นนี้คือองค์การที่มีคนหนุ่มสาวทำงานเงินดี
ผลของวัฒนธรรมแบบนี้คือ อ่อนแรงเร็ว
ล้มเหลวง่าย คนที่จะได้รับความสำเร็จคือคนที่อดทนต่อแรงกระหน่ำไม่ว่าจากงานหรือเพื่อนร่วมงาน
ยังผลให้เกิดการแข่งขันกันภายใน
ทำให้เกิดความตึงเครียดและขัดแย้งระหว่างผู้ทำงานด้วยกัน
ซึ่งองค์การเช่นนี้คาดหวังอยู่แล้ว
องค์การนี้จะได้รับผลตอบแทนอย่างรวดเร็วจากสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงสูง
แต่ยากจะทำสำเร็จได้ระยะยาว ทำให้คนทำงานเข้าง่ายออกเร็ว
มีความจำกัดในการร่วมแรงร่วมใจกัน อดรนทนกันไม่ค่อยได้
การสร้างความแข็งแกร่งและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในองค์การเช่นนี้จึงแทบเป็นไปไม่ได้
2.) วัฒนธรรมทำหนัก/เล่นหนัก
เป็นวัฒนธรรมที่เสี่ยงต่ำ
ตอบกลับการปฏิบัติงานรวดเร็ว ฝ่ายขายที่มีจิตใจสนุกสนานเป็นลักษณะของวัฒนธรรมนี้
องค์การที่ทำหนัก/เล่นหนักมีได้ทั้งองค์การที่เป็นอุตสาหกรรมและบริการ เช่น
ร้ายอาหารจานด่วน บริษัทคอมพิวเตอร์ องค์การเช่นนี้มีความเสี่ยงน้อย
การให้บริการขององค์การ ถ้าพลาดก็พลาดทีละรายการ ไม่ทำให้คนขายเสียหายหมด
การผลิตก็สำรวจว่าแต่ละแผนกทำได้ตามมาตรฐานหรือไม่
การตอบกลับการปฏิบัติงานที่รวดเร็วหาได้ง่ายจากองค์การเช่นนี้ เช่น
พนักงานได้รับยอดขายตามเป้า เนื่องจากองค์การยึดการขายและการได้เป้าหมาย
จึงเป็นองค์การที่ยึดลูกค้าเป็นหลัก อาจมีการแข่งขัน เกม การแข่งแรลลี่
ที่มุ่งความสำเร็จของเอกัตบุคคลหรือทีม
และยังมีความหมายต่อการกระตุ้นคนไปสู่ความสำเร็จ
เนื่องจากมีการแข่งขันกันไปสู่ความสำเร็จของคนหรือทีม
จึงมุ่งความสำเร็จระยะสั้นมากกว่าระยะยาว
3.) วัฒนธรรมเดิมพันองค์การ
เป็นองค์การที่เสี่ยงสูงและรอเวลายาวในการตอบโต้กระทำการและตัดสินใจ
เพราะการลงทุนสูง ระยะยาวทั้งผลลัพธ์ที่จะได้ก็จะระยะยาว เช่น
การลงทุนในอุตสาหกรรมอากาศยาน เช่น บริษัท โบอิ้ง หรือขุดหา กลั่นน้ำมัน
เนื่องจากมีรายละเอียดในการวางแผน หลักฐานในพิธีกรรมทางธุรกิจจึงเกิดขึ้น
การตัดสินใจในวัฒนธรรมแบบนี้มีลักษณะเน้นที่อนาคตและจากชั้นบนสู่ล่าง
บังคับกันลงมาตามสายการบังคับบัญชา คนที่จะได้รับผลดีคือคนที่ทำงานยาวนาน
จะได้รับความยอมรับนับถือจากอำนาจหน้าที่และความสามารถทางเทคนิค
เห็นทักษะการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพในทีม
มีคนจิตใจเดียวกันและจัดการเรื่องแรงกดดันได้
ผลของสภาพการทำงานเช่นนี้ก็คือมีนวัตกรรมและการค้นพบทางวิทยาการใหม่ๆ
อย่างไรก็ตาม นวัตกรรมและวิทยาการใหม่ เป็นเหปาหมายระยะยาว
ทำให้บริษัทอาจอยู่ได้ไม่ยาวในตลาดหุ้นจึงทำกำไรระยะสั้น
4.) วัฒนธรรมแบบกระบวนการ
เป็นวัฒนธรรมที่เสียงต่ำและการตอบกลับช้า
การตอบโต้การกระทำและการตัดสินใจดูคล้ายจะไม่เคยมีเลย
วัฒนธรรมเช่นนี้มักเป็นวัฒนธรรมของข้าราชการพลเรือน องค์การภาครัฐ ธนาคาร
บริษัทประกัน ระยะยาวนานในการตอบกลับที่ผู้ปฏิบัติงานมุ่งเน้น ก็คือวิธีที่จะทำ
นั่นคือกระบวนการมากกว่าเหตุผลที่จะทำการสิ่งนั้นให้ได้ผลลัพธ์
ผู้ปฏิบัติงานที่จะอยู่รอดได้ดีที่สุดคือคนที่รู้เวลา รู้หลักวิธี รู้หลบเป็นปีก
รู้หลีกเป็นหาง วัฒนธรรมแบบกระบวนการจะเน้นพิเศษในเรื่องตำแหน่งงานและบทบาท
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์จากขนาดของสำนักงาน สไตล์ของเฟอร์นิเจอร์
สายการบังคับบัญชาที่เข้มงวดตายตัวแก่เอกัตบุคคล นี่ทำให้คิดถึงอีกจุดหนึ่งของวัฒนธรรมแบบกระบวนการคือ
คนที่ครองตำแหน่งอยู่เป็นคนมีอำนาจ
การได้รางวัลจากวัฒนธรรมเช่นนี้คือการอยู่ยาวนาน
วัฒนธรรมองค์การส่วนมากจะสำเร็จ
ถ้าองค์การปฏิบัติในสภาพที่แน่นอนไม่ต้องไปดิ้นรนต่อสู้
ไม่ต้องตอบโต้กับการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว เป็นองค์การที่ดูไม่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ไม่มีวิสัยทัศน์ องค์การที่มีลักษณะเช่นนี้
เป็นองค์การที่ถ่วงดุลองค์การอีกสามประเภท ซึ่งมีการเสี่ยงสูง มีการตอบโต้รวดเร็ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น