วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 7 บุคลิกภาพ

บทที่ 7 บุคลิกภาพ
ความหมายของบุคลิกภาพ
          คำว่าบุคลิกภาพ (Personality) มีหลายคนได้ให้ความหมายไว้ เช่น
          กรีนเบอร์กและบารอน (Greenberg & Baron, 1993, p. 193) กล่าวว่า บุคลิกภาพเป็นเอกลักษณ์หรือลัษณะเฉพาะที่ค่อนข้างคงที่ของรูปแบบพฤติกรรม ความนึกคิด และอารมณ์ที่แสดงออกมาของแต่ละบุคคล
          ลุยส์เออร์ (Lussier, 2001, p. 39) นิยามบุคลิกภาพว่า เป็นชุดของลักษณะที่ค่อนข้างคงที่ที่ช่วยอธิบายและทำนายพฤติกรรมของคนแต่ละคน
          รอบบินส์ (Robbins, 2001, p. 92) นิยามคำว่า บุคลิกภาพเป็นผลรวมของวิธีที่แต่ละคนกระทำและมีปฏิกิริยาต่อคนอื่น
          อาร์โนลด์และเฟลด์แมน (Arnold & Feldman, 1986, pp. 37-41) กล่าวถึงบุคลิกภาพสรุปได้ว่า บุคลิกภาพเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมส่วนตัวของคน บุคลิกภาพเป็นลักษณะส่วนตัวชุดหนึ่งที่คงที่ของคนคนนั้น ทั่งที่มีแนวโน้มว่าจะทำอย่างนั้นซึ่งอาจมีส่วนเหมือนหรือต่างจากความคิด ความรู้สึกและการกระทำของคนอื่น
       จะเห็นได้ว่า บุคลิกภาพ เป็นลักษณะและแนวโน้มชุดหนึ่งที่ค่อนข้างคงที่ของคนคนหนึ่ง เมื่อต้องการเข้าใจบุคลิกภาพของใครสักคนหนึ่ง ต้องมองลักษณะที่ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนแปลงน้อยมากของคนคนนั้น
การจำแนกบุคลิกภาพ
          นักจิตวิทยา ได้จำแนกบุคลิกภาพเป็นหลายวิธี บางคนแบ่งเป็นพวกแสดงออก (Extrovert) กับพวกไม่แสดงออก (Introvert) แบ่งเป็นส่วนที่เป็นรูปธรรม-ปรากฏกายภายนอก เช่น รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ การแต่งกาย กิริยาท่าทาง เรียกว่า บุคลิกภาพภายนอก กับส่วนที่เป็นความรู้สึกนึกคิด เป็นความคิดความเห็นที่อยู่ในใจ แต่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ เรียกว่าบุคลิกภาพภายใน นักจิตวิทยาได้แบ่งเป็นลักษณะนิสัย 16 อย่าง ขณะเดียวกัน ยังแบ่งบุคลิกภาพเป็น พวก Type A และพวก Type B
          1.) พวกแสดงออกกับพวกไม่แสดงออก
                    1.1) พวกไม่แสดงออกมักเงียบ ขรึม ไม่ค่อยอยากพบหน้าผู้คน พวกไม่ชอบแสดงออกมีความรู้สึกอ่อนไหว กังวลต่อความรู้ จัดการกับเรื่องนามธรรมและแนวคิดได้อย่างสบายใจ ตรงกันข้าม พวกชอบแสดงออก มักชอบเข้าสังคม ออกไปโน่นมานี่ พบคนนั้นคนนี้ ชอบเกี่ยวข้องกับคนและเหตุการณ์
                   1.2) พวกแสดงออกกับพวกไม่แสดงออก ต่างมีความเหมาะกับตำแหน่งที่แตกต่างกันในองค์การ พวกชอบแสดงออกชอบจัดการเรื่องเกี่ยวกับคน ข้องแวะกับกิจกรรมที่มีมาไม่ขาดสาย ตัวอย่างของพวกชอบแสดงออก เหมาะกับตำแหน่งเกี่ยวกับงานขาย งานที่ต้องพบปะผู้คน พวกไม่ชอบแสดงออกทำงานได้อย่างทรงประสิทธิผลสูง ในตำแหน่งที่ทำงานอย่างอิสระที่ต้องการความครุ่นคิดและความคิดเกี่ยวกับแนวคิด ความคิดนามธรรม จะพบคนที่ไม่ชอบแสดงออกในแผนกช่างเทคนิค และแผนกวิจัยในองค์การ
                   1.3) อีกพวกหนึ่งเรียกว่าพวกชอบครอบงำ เหมือนกับอยู่ในตำแหน่งที่สามารถแสดงอิทธิพลควบคุมคนอื่น คนที่ชอบครอบงำหรือแสดงอำนาจเหนือคนอื่นมักชอบเป็นศูนย์กลางของความสนใจและกิจกรรม ทั้งรู้สึกว่าตนเองควบคุมสถานการณ์ได้ ส่วนมากคนประเภทนี้มักอยู่ในสายงานขาย พวกู้นำก็มีลักษณะแสดงอำนาจเหนือสูงกว่าพวกผู้ตาม
          2.) ลักษณะนิสัยเบื้องต้นของคน 16 อย่าง
          คน นอกจากมีปรากฏกาย คือ การมองเห็นทางกายภาพแตกต่างกัน ยังมีลักษณะนิสัยไม่เหมือนกันอีกด้วย รอบบินส์ (Robbins, 2001, pp. 95-103) กล่าวว่า คนเรามีนิสัยที่แตกต่างกัน ลักษณะนิสัยเบื้องต้นสามารถแบ่งเป็นกลุ่ม 16 กลุ่ม คือ
                   2.1) ยอมกับชอบเอาชนะ
                   2.2) ฉลาดน้อยกับฉลาดมาก
                   2.3) กระทบโดยความรู้สึกกับอารมณ์คงที่
                   2.4) ยอมตามกับครอบงำ
                   2.5) เอาจริงเอาจังกับสนุกไปเรื่อย
                   2.6) ประโยชน์เฉพาะหน้ากับยึดมั่นหลักการ
                   2.7) ขลาดกลัวกับกล้าเสี่ยงภัย
                   2.8) ใจแข็งกับอ่อนไหวง่าย
                   2.9) ไว้วางใจกับขี้สงสัย
                   2.10) ชอบปฏิบัติกับชอบจินตนาการ
                   2.11) ตรงไปตรงมากับมีเหลี่ยมคู
                   2.12) มั่นใจในตนกับประหวั่นพรั่นพรึง
                   2.13) อนุรักษ์กับชอบทดลอง
                   2.14) พึ่งกลุ่มกับพึ่งตน
                   2.15) ควบคุมไม่ได้กับควบคุมได้
                   2.16) ผ่อนคลายกับขึงเครียด
          3.) บุคลิกภาพแบบ Type A กับ Type B
          Robbins (2001, pp 99-103) ยังแบ่งบุคลิกภาพเป็นสองประเภท คือ Type A และ Type B
          พวก Type A จะมีบุคลิกภาพ
                    1.) มักเคลื่อนไหว เดิน กินอย่างรวดเร็ว
                   2.) มักอดรนทนไม่ได้ต่อเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น
                   3.) พยายามคิดหรือทำงานสองอย่างหรือมากกว่าในคราวเดียวกัน
                   4.) ไม่ค่อยมีเวลาว่าง
                   5.) สาระอยู่ตัวเลข การวัดความสำเร็จว่ามีมากน้อยเพียงใดในทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนขวนขวาย
         
           พวก Type B จะมีบุคลิกภาพ
                   1.) ไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับเวลาที่รีบเร่ง
                   2.) ไม่รู้สึกว่าต้องพูดคุยหรือแสดงอะไรในความสำเร็จ เว้นแต่ถูกบังคับให้ต้องทำ
                   3.) สนุกสนานเพลิดเพลินใจไปตลอดวัน
                   4.) สบายใจไม่กังวลสิ่งใด
          คนที่มีบุคลิกภาพ Type A จะทำงานภายใต้แรงกดดันระดับเฉลี่ยถึงระดับสูงได้ มักเป็นเหยื่อของความเครียดด้านเวลา สร้างเส้นตายให้แก่ตนเอง เป็นคนทำงานรวดเร็ว คำนึงถึงปริมาณมากกว่าคุณภาพ หากอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารก็มักทำงานได้ชั่วโมงยาวนานกว่า การตัดสินใจก็กระทำอย่างรวดเร็วจนบางครั้งเกิดความผิดพลาดขึ้นบ้าง เนื่องจากคำนึงปริมาณและความรวดเร็ว คนบุคลิกภาพ Type A จึงมักพึ่งประสบการณ์เดิมเมื่อเผชิญกับปัญหา ไม่ค่อยเสียเวลามาพัฒนาหาทางใหม่ๆในการแก้ไขปัญหา อย่างไรก็ตาม ดูลักษณะนิสัยได้ง่ายกว่าพวกบุคลิกภาพ Type B
          คนบุคลิกภาพ Type A หรือ Type B จะได้รับความสำเร็จในองค์การมากกว่ากัน แม้ว่าคน Type A จะทำงานหนักกว่า ปรากฏว่าคน Type B ทำทางไปสู่ตำแหน่งสูงได้ดีกว่า ยอดนักขายมักเป็นคนบุคลิกภาพ Type A ผู้บริหารอาวุโสมักเป็น Type B เพราะเหตุใด คำตอบก็คือ พวก Type A มักคิดถึงปริมาณมากกว่าคุณภาพ การโฆษณาในองค์การมักตกอยู่กับคนที่เฉลียวฉลาดมากกว่าคนที่ลุกลี้ลุกลน ตกอยู่กับคนรู้เหลี่ยมคูมากกว่าคนที่เป็นศัตรูกัน และอยู่ที่คนความคิดสร้างสรรค์มากกว่าคนที่กระวีกระวาดเอาแต่แข่งชนะกัน
          4.) บุคลิกภาพกับอาชีพ
          อาจแบ่งประเภทของบุคลิกภาพต่างๆว่าเข้ากันได้กับอาชีพอะไรบ้าง เช่น บุคลิกภาพจริงจัง มักเป็นพวกช่างกล นักขุดเจาะ คนประกอบชิ้นส่วน กสิกร คนชอบสังคม เป็นนักเศรษฐศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้สื่อข่าว คนชอบของเดิมๆ หรือดั้งเดิม มักเป็นนักบัญชี ผู้จัดการบริษัท ดังภาพ

องค์ประกอบและความเหมาะสมของบุคลิกภาพ
          ในขณะปฏิบัติงาน การปรับปรุงบุคลิกภาพให้เหมาะแก่งานอาชีพ ก็เป็นสิ่งจำเป็นในการส่งเสริมให้ได้รับความสำเร็จในอาชีพนั้นๆ เช่น คนประกาศขายยาลดความอ้วน ควรมีรูปร่าง ทรวดทรง บอบบาง ชอบพบปะผู้คน การพัฒนาบุคลิกภาพให้เป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่เหมาะสม จึงเป็นสิ่งที่พึงแสวงหา อาจแยกพิจารณาได้ตามหลัก 5 ของบุคลิกภาพและการบรรลุความเหมาะสมของบุคลิกภาพ ดังนี้
          1.) หลัก 5 ประการของบุคลิกภาพ
          รอบบินส์ (Robbins, 2001, p.94) กล่าวถึงองค์ประกอบหลัก 5 ประการของบุคลิกภาพ หรือเรียกว่า หลักห้าของบุคลิกภาพ ว่าเป็นมิติเบื้องต้นของบุคลิกภาพของคน ซึ่งประกอบด้วย
                   1.1) ชอบแสดงออก มิตินี้เป็นการดูความสบายใจในความสัมพันธ์ คนที่ชอบแสดงออกจะชอบเข้าสังคม พบปะผู้คน กับอีกพวกหนึ่ง ไม่ชอบแสดงออก เป็นคนเก็บตัว เงียบขรึม
                   1.2) ประนีประนอม มิตินี้เป็นการดูความแตกต่างของการเข้ากับคนอื่น คนที่ประนีประนอมสูงจะเข้ากับคนอื่นได้ดี เป็นกันเอง ให้ความร่วมมือ ไว้วางใจได้ คนที่มีความประนีประนอมต่ำจะเย็นชา ไม่ค่อยเห็นด้วยกับใคร มักขัดแย้งไม่ลงรอย
                   1.3) ความมีสติ มิตินี้วัดความน่าเชื่อถือได้ คนที่มีสติสัมปชัญญะสูงจะเป็นคนรับผิดชอบ เจ้าระเบียบ พึ่งตนเองได้ คงเส้นคงวา ส่วนคนที่มีคะแนนต่ำในมิตินี้ เป็นคนที่หวั่นไหวง่าย ไม่เป็นระเบียบ ไว้วางใจไม่ค่อยได้
                   1.4) ความมั่นคงทางอารมณ์ มิตินี้วัดความทนทานต่อความเครียด คนที่มีเสถียรภาพทางอารมณ์เป็นบวกจะสามารถทนต่อแรงกดดัน มีความมั่นคงในอารมณ์ ส่วนคนที่มีคะแนนลบมักประสาท ตื่นตระหนัก หวาดระแวง สั่นคลอนง่าย
                   1.5) ความมีใจเปิดรับประสบการณ์ มิตินี้วัดความสนใจและการมีใจกว้างต่อสิ่งใหม่ๆ คนที่เปิดรับกว้างมักเป็นคนคิดสร้างสรรค์ อยากรู้อยากเห็น มีจิตสำนึกเป็นศิลปิน อีกปลายสุดหนึ่งของความมีใจเปิดรับจะเป็นคนที่อนุรักษ์และรู้สึกสบายที่ได้อยู่กับสิ่งคุ้นเคย
          ดังนั้น มิติเบื้องต้นของบุคลิกภาพจึงเป็นลักษณะที่อยู่ในคน บางคนมีลักษณะมาก เช่น ชอบแสดงออก ก็จะเป็นคนชอบเข้าสังคม ลักษณะอื่นๆจะมีน้อยลง คือไม่เด่น การมีความรู้ในหลัก 5 ประการของบุคลิกภาพ ทำให้สามารถเข้าใจบุคลิกภาพของคนๆหนึ่งได้
          2.) การบรรลุความเหมาะของบุคลิกภาพ
          เดิมองค์การมักวิตกเรื่องที่ว่าบุคลิกภาพต้องเหมาะกับงาน ความวิตกยังคงมี แต่เมื่อเร็วๆนี้ ความสนใจขยายไปยังความเหมาะขององค์การมากขึ้น เนื่องจากทุกวันนี้สนใจเรื่องความสามารถของผู้ปฏิบัติงานที่จะทำงานเฉพาะด้าน แต่ต้องการความยืดหยุ่นเพื่อปรับให้เข้าได้กับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ควรประกอบด้วยสิ่งต่อไปนี้
                   2.1) ความเหมาะของคนกับงาน มีความเชื่อว่าบุคลิกภาพของคนควรเหมาะกับงาน โดยแบ่งบุคลิกภาพเป็น 6 ประเภท แต่ละประเภทมีลักษณะอย่างไร เหมาะกับงานประเภทใด ดังนี้
                   2.2) ความเหมาะของคนกับองค์การ ดังกล่าวแล้วว่าปัจจุบันขยายความเข้ากันได้ของคนกับองค์การและงาน เนื่องจากองค์การต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมที่เคลื่อนไหวตามไปด้วย จึงจำเป็นที่บุคลิกภาพของผู้ปฏิบัติงานต้องเหมาะกับวัฒนธรรมองค์การโดยรวมมากกว่าลักษณะที่เข้ากันได้กับงานเฉพาะด้าน
          ความเหมาะของคนกับองค์การ เห็นว่าคนต้องออกจากงานเนื่องจากไม่อาจเข้ากันได้กับบุคลิกภาพของตน เนื่องจากบุคลิกภาพเข้าไม่ได้กับงาน งานบางอย่างเหมาะกับคนที่ชอบแสดงออก บางอย่างเหมาะกับวัฒนธรรมองค์การที่ก้าวร้าวและมุ่งทีมงาน คนที่มีความประนีประนอมสูงจะเข้ากันได้กับองค์การที่มีวัฒนธรรมที่ชอบสนับสนุน มากกว่าที่เน้นความก้าวร้าว คนที่เปิดกว้างรับประสบการณ์ได้เหมาะกับองค์การที่เน้นวัฒนธรรม เป็นต้น การทำตามแนวคิดนี้ในตอนจ้างคนเข้าทำงานจะทำให้การเลือกคนได้เหมาะกับวัฒนธรรมองค์การได้ขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความพึงพอใจของผู้ปฏิบัติงานและลดการเข้าออกพนักงาน
                   2.3) บุคลิกภาพตามอำนาจหน้าที่ เชื่อว่า กฎ บทบัญญัติ กฎหมายสร้างกลไกให้อำนาจหน้าที่ เช่น รัฐบาล ระบบกฎหมาย และสายการบังคับบัญชาขององค์การ คนที่อยู่ในตำแหน่งอำนาจหน้าที่สูงมักถือคุณค่าแบบประเพณีนิยม เชื่อในความถูกต้องทางศีลธรรมในตำแหน่งหน้าที่นั้น มีทัศนะว่าการเชื่อฟังตามอำนาจหน้าที่ว่าเป็นสิ่งจำเป็น เรียกว่า เป็นพวกอำนาจนิยม หรือนิยมอำนาจ พวกนิยมอำนาจค่อนข้างแข็งกร้าวตายตัวในความเชื่อ ค่อนข้างถือตามกฎทำตามระเบียบแบบแผน ชอบงานที่มีโครงสร้างแน่นอน ไม่กำกวม ตอบโต้อย่างเป็นทางบวกต่อพวกผู้มีอำนาจเด็ดขาด (เอกาธิปไตย) และสไตล์ความเป็นผู้นำแบบชี้นำ เนื่องจากมีความถูกต้องตามกฎหมายในตำแหน่งหน้าที่ที่จะออกคำสั่งหรือชี้นำคนอื่น
ลักษณะของคนที่มีบุคลิกภาพดี
          การมีบุคลิกภาพที่ดี เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันต้องการมี และต้องการเป็น ระเด่น ทักษณา (2542) กล่าวว่า คนมีเสน่ห์นั้น จะต้องประกอบด้วย มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม และอื่นๆ ซึ่งมาดต้องตานั้น มีส่วนทำให้เกิดเสน่ห์ทางตา ถึง 83% ส่วนวาจาต้องใจ คือฟังด้วยหูแล้วเกิดเป็นเสน่ห์เพียง 11% เท่านั้นดังนั้นปรากฏกาย คือ รูปร่างหน้าตา การแต่งกาย เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องบำรุงรักษาให้เกิดเสน่ห์ตลอดเวลา ดังแนวคิด มาดต้องตา วาจาต้องใจ ภายในต้องเยี่ยม ดังนี้
          มาดต้องตา 10 ประการ ดังนี้
          1.) มีนิสัยสดชื่อร่าเริงอยู่เสมอ
          2.) ไหว้คนด้วยความนอบน้อม
          3.) เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกคน
          4.) เมื่อได้พบกับคนอื่นที่รู้จักกันแล้ว หรือครั้งแรกก็ตาม ควรจะแสดงความกระตือรือร้นยินดีที่ได้พบ ที่ได้รู้จักกัน
          5.) คนมีเสน่ห์ ไม่รู้สึกเสียเกียรติที่จะกล่าวคำขอโทษ หรือขอบคุณใครก็ตามตั้งแต่คนงาน คนรถ คนใช้ ไปถึงระดับผู้ใหญ่ที่มีเกียรติ
          6.) แต่งกายให้ถูกกับกาลเทศะ
          8.) ถ้าหากงานที่จะไปนั้นเป็นงานใหญ่ของเจ้าภาพที่มีเกียรติยศ และตำแหน่งหน้าที่การงานสูง เราไม่สามารถแต่งกายให้สมเกียรติได้ ก็อย่าไปดีกว่า เพราะว่าจะทำให้เจ้าภาพเขาเสียหน้า และกระอักกระอ่วนใจ
          9.) ในงานพิธีต่างๆเมื่อเราได้รับเชิญให้ลุกขึ้นยืนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าชุมชน ควรจะกลัดกระดุมให้เรียบร้อยในทุกๆเม็ด รวมทั้งสูทด้วย
          10.) คนมีเสน่ห์ เมื่อไปงานพิธีใหญ่ ต้องแต่งกายรัดกุมถูกกาลเทศะไม่พกของตุงกระเป๋า เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือสะพายกล้องรุงรัง
          วาจาต้องใจ
          11.) คนมีเสน่ห์ เมื่อพูดใครหรือมีใครพูดด้วย ต้องให้ความสนใจ 100% ด้วยอาการใจจดใจจ่อ และฟังตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เรื่องนั้นเราจะเคยฟังมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
          12.) เราต้องพูดในสิ่งที่เขาอยากฟัง จะไม่พูดในสิ่งที่เราอยากพูด
          13.) ให้พยายามพูดในภาษาของคนฟัง ไม่ใช่พยายามพูดในภาษาของคนพูด
          14.) คนมีเสน่ห์ ควรแบ่งบทพระเอกให้คนอื่นเป็นบ้าง อย่าถือว่าเก่งคนเดียว
          15.) ต้องไม่ยกตนข่มท่าน
          16.) คนมีเสน่ห์ ไม่พูดถึงความยากของตนเอง หรือบ่นแต่ความทุกข์ของตนเองให้คนอื่นฟัง
          17.) อย่าพูดถึงความร่ำรวย
          18.) คนมีเสน่ห์ ย่อมจะไม่พูดถึงความเลวร้าย
          19.) คนมีเสน่ห์ จะเป็นคนมีอารมณ์ขัน
          20.) ต้องไม่แสดงความรังเกียจออกนอกหน้า
          ภายในต้องเยี่ยม
          21.) คนมีเสน่ห์ต้องมีน้ำใจ เอื้ออาทรต่อคนรอบข้าง
          22.) คนมีเสน่ห์ ย่อมทำตัวเป็นผู้ให้มากกว่าเป็นผู้รับ
          23.) เป็นคนมีความกตัญญูกตเวที
          24.) คนมีเสน่ห์ ย่อมมีความเสมอต้นเสมอปลาย
          25.) คนมีเสน่ห์ จะเอาหลักศาสนาที่ตนนับถือมาเป็นหลักปฏิบัติ
          26.) การทำความดี เราถือว่าเป็นความสุข ไม่ใช่เพราะรอให้คนมาเห็นเราทำความดี
          27.) เมื่อมีคนติติง ก็อย่าโกรธ เพราะว่าคำตินั้นมีประโยชน์ในการก่อมากกว่าคำชม
          28.) คนมีเสน่ห์ จะแสดงความเคารพนับถือ ครู-อาจารย์ วิทยากร ถึงแม้จะมีอายุน้อยกว่าก็ตาม
          29.) ให้ความสนใจกับคำเชิญไปงานต่างๆเสมอ
          30.) คนมีเสน่ห์ ควรให้อภัยไม่อาฆาตจองเวรคนที่ให้อภัยเป็นทาน
          เบ็ดเตล็ด
          31.) คนมีเสน่ห์ ย่อมจดจำวันเกิดเพื่อน คนที่รู้จัก หรือคนที่สนิทได้
          32.) คนมีเสน่ห์ ย่อมเตรียมนามบัตรไว้จำนวนหนึ่งให้พอแจกเสมอ
          33.) เมื่อมีผู้มอบนามบัตรให้ เราควรจะยกมือขึ้นรับและไหว้ ควรอ่านชื่อในนามบัตรของเขาดังๆ เพื่อให้จดจำชื่อของเขาได้
          34.) นามบัตร เป็นสิ่งสำคัญ เมื่อเราไดรับนามบัตรอย่าเพิ่งรับเก็บเข้ากระเป๋า ควรวางไว้บนโต๊ะ ในที่มองเห็นตลอดเวลา อย่าให้เปื้อน แล้วเก็บไว้ด้วยเสมอ
          35.) เมื่อมีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วในโต๊ะอาหาร หรือห้องประชุม ควรขออนุญาตเมื่อจะเข้าไปนั่งด้วย และกล่าวคำขอโทษก่อนจะลุกอออกจากโต๊ะ อย่าลุกไปเฉยๆ
          36.) ผู้มีเสน่ห์ เมื่อนั่งอยู่ในโต๊ะอาหารหรือที่ประชุม ควรยิ้มต้อนรับหรือกล่าวคำทักทายผู้มาใหม่เสมอ หรือผู้ที่ลุกออกไปจากโต๊ะ
          37.) เมื่อนั่งโต๊ะอาหาร ควรคลี่ผ้ากันเปื้อนไว้เป็นรูปสามเหลี่ยมบนตัก อย่าใช้ผ้ากันเปื้อนเช็ดปาด เช็ดหน้า เช็ดมือเป็นอันขาด และเมื่อลุกจากโต๊ะ ควรพับผ้ากันเปื้อนแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
          38.) เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ควรรวบช้อนส้อมเข้าด้วยกัน พนักงานเสิร์ฟจะได้มาเก็บจานไป แต่ถ้ายังรับประทานไม่เสร็จ ให้วางช้อนและส้อมเป็นรูปตัววี
          39.) คนมีเสน่ห์ เมื่อตักอาหารบุฟเฟต์ ควรตักกับข้าวแต่พอกิน อย่าตักทุกอย่างรวมกันจนล้นจาน เหมือนคนตายอดตายอยาก เมื่อไม่พอกินก็มาตักใหม่
          40.) เมื่ออาหารติดฟัน ไม่ควรที่จะใช้มือแคะอาหารออกจากปาก อาจจะใช้มือป้องแล้วแคะฟัน แต่ที่ดีที่สุดควรจะลุกไปทำในห้องน้ำจะดีกว่า
         


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น