วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 8 การสร้างความเชื่อมั่นตนเอง

บทที่ 8 การสร้างความเชื่อมั่นตนเอง
แนวคิดของความเชื่อมั่นในตนเอง
          แนวคิดความเชื่อมั่นในตนเองมีที่มามาหลายแนวคิด แนวคิดหนึ่ง คือความคิดของ รีสและบรานดต์ (Reece & Breandt, 1997 p. 81) ที่เสนอว่า ความเชื่อมั่นในตน = ประสิทธิชัยในตน + ความนับถือตนเอง (Self Esteem = Self-Efficacy + Self-Respect)
          1.) ประสิทธิชัยในตน – Self-Efficacy เป็นความเชื่อมั่นว่าตนมีความสามารถคิด เข้าใจและตัดสินใจ ที่จะทำการเรื่องนั้นๆ เมื่อมีประสิทธิชัยในตนสูง จะเชื่อว่าตนเองมีความสามารถกระทำการได้เหมาะสม เมื่อมีประสิทธิชัยในตนต่ำ ก็วิตกกังวลว่าตนเองไม่อาจทำงานนั้นๆได้ งานนั้นอยู่เหนือความสามารถของตน ความรับรู้ประสิทธิชัยในตนเองมีอิทธิพลต่องานที่ทำ ต่องานที่หลีกเลี่ยงเป็นความเชื่อที่มีขึ้นทีลงในตัวคน แหล่งที่มาของประสิทธิชัยในตนก็คือประสบการณ์ในการควบคุม นั่นคือเมื่อสำเร็จครั้งหนึ่งแล้วจะเชื่อมั่นว่าจะสำเร็จได้ในเรื่องอื่นๆได้อีกด้วย เช่น ผู้ช่วยผู้จัดการคุมระบบการทำบัญชีด้วยคอมพิวเตอร์ได้แล้ว จะมั่นใจในการควบคุมโปรแกรมคอมพิวเตอร์อื่นๆในอนาคต ตรงกันข้าม คนที่รู้สึกว่าไม่มีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ก็จะไม่พยายามควบคุมโปรแกรมใหม่อื่นๆ ไม่ว่าจะสามารถทำได้ดีเพียงใดก็ตาม
          2.) ความนับถือตนเอง – Self-Respect องค์ประกอบอีกส่วนหนึ่งของความเชื่อมั่นในตนก็คือสิ่งที่คิดและรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง อาจอธิบายความนับถือตนเองได้ว่าเป็นความรู้สึกภายในลึกๆของคุณค่าแห่งตนของคน การเชื่อว่าตนมีค่าเป็นส่วนสำคัญในการบรรลุความสำเร็จของตน คนที่นับถือตนเองจะกระทำในทางที่มั่นใจและเสริมแรงความนับถือนั้น คนที่ไม่มีความนับถือจะพูดและกระทำไม่ค่อยดีต่อคนอื่นเพราะรู้สึกว่าคนอื่นไม่มีค่าควรแก่การยกย่อง ควรได้รับการจิกด่าว่าดี ทางที่จะรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่าก็คือตั้งมาตรฐานตามจริง คนที่มีความเชื่อมั่นในตนต่ำมักตั้งมาตรฐานให้ตนเองสูงเกินไปแล้วตะเกียกตะกายให้บรรลุให้ได้ ผลลัพธ์คือต้องมานะพยายามพิสูจน์ตนเองอย่างเหนื่อยยาก เมื่อตนเคารพนับถือตน จะไม่ค่อยรู้สึกว่าต้องพิสูจน์ตนเองให้คนอื่นรับรู้ จะภาคภูมิใจในผลงานความสำเร็จและเป้าหมายที่ตนตั้ง ไม่ต้องพึ่งพาการยอมรับของคนอื่นอยู่ร่ำไป โศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ในชีวิตคนก็คือ คนมักมองหาความเคารพนับถือจากทุกทิศทางยกเว้นจากภายในตนเอง
          ความเชื่อมั่นในตน ยังเป็นความรู้สึกที่ตนเองพึงพอใจในบทบาทของตนเองในชีวิต เช่น เป็นเพื่อน พี่ น้อง ลูกสาว ลูกชาย นายจ้าง ลูกศิษย์ ครูอาจารย์ ผู้นำ ผู้ตาม ยังเป็นลักษณะบุคลิกภาพความเชื่อที่ตนมี เช่น ความซื่อสัตย์ ความคิดสร้างสรรค์ ความยืดหยุ่น ความเชื่อมั่นในตนยังมาจากลักษณะทางกายภาพ ทักษะ และความสามารถ เป็นคนสูง คนเตี้ย ผอม หรืออ้วน ชอบรูปร่างที่เห็นในกระจกหรือไม่ เก่งในทางเขียนขีด ซ่อมอุปกรณ์ ทำงานวิจัย หรือติดต่อกับผู้คน
          การ์ริสันและบลีย์ (Garrison & Bly, 1997, p. 114) เสนอความคิดของคาร์ล โรเจอร์  นักจิตวิทยา ว่าการพัฒนาตนเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขที่คนอื่นมีต่อตน เงื่อนไขตัดสินว่าจะยอมรับ เป็นที่รัก มีคุณค่า หรือชอบไม่ชอบ เรียกว่า เงื่อนไขแห่งความมีค่าคนมักวางเงื่อนไขเหล่านี้เป็นคุณค่าของตน เมื่อก่อรูปแบบสำนึกของความเชื่อมั่นในตน คนมักเชื่อในสิ่งที่คนอื่นมีต่อตนเองเช่นนั้น เรามักคิดว่าตนเองมีค่าหรือไม่มีค่าไปตามคำพูดของคนอื่น ถ้ารู้ว่าคนอื่นมองตนเป็นบวก ความสามารถ ความเป็นอยู่ก็จะดีไปตามคำพูดนั้น
          ดังนั้น จึงต้องมั่นใจว่าตนเป็นคนดี มีความสามารถ เป็นที่น่านับถือ
หลักการในการพัฒนาความเชื่อมั่นในตน
          ในการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง แม้จะมีวิธีการต่างๆ แต่ก็มีหลักการที่ให้เป็นแนวคิดให้ตระหนัก เพื่อพัฒนาความเชื่อมั่นในตนเอง ดังที่วอลเลสและมาสเตอร์ส (Wallace & Masters, 2002) เสนอไว้ คือ
          1.) เมื่อรังเกียจตนเอง จะมีความเชื่อมั่นในตนต่ำ แต่การที่ไม่สามารถเป็นคนสมบูรณ์พร้อมก็ไม่ควรเสียความนับถือตนเอง ทุกคนล้วนทำความผิดพลาด มีความไม่สมบูรณ์ ก็เช่นเดียวกับที่ยังนับถือคบเพื่อนที่มีข้อบกพร่อง ตนเองก็ควรนับถือตนเองด้วยเหตุผลเดียวกับการนับถือเพื่อน คนเราจึงควรเชื่อในตนเอง มีศรัทธาต่อความสามารถของตนเอง คนที่ปราศจากความเชื่อมั่นที่มีเหตุผล มัวถ่อมตนในพลังอำนาจของตน ก็ไม่อาจได้รับความสำเร็จ หรือมีความสุข
          2.) ความเชื่อมั่นในตน ไม่ใช่การหลอกหรือหลงตน แท้จริงความเชื่อมั่นในตนเอง ยังคงทำให้ตนรู้ว่าตนมีส่วนดี ส่วนเสียอย่างไร แต่เป็นการชูด้านดีของตนขึ้นมา ขณะเดียวกันก็ยังถ่อมตนได้ เนื่องจากการตระหนักรู้ตนเองว่าตนเองมีค่า
          3.) การชอบตนเอง แม้ไม่ได้หมายความว่า จะชอบทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนทำ ความเชื่อมั่นในตนเป้นความนิยมชื่นชมความสามารถพิเศษที่ตนมี ให้คุณค่าความเป็นคนของตน ปรารถนาให้ตนเป็นคนที่ดีที่สุด บรรลุศักยภาพของตนเอง พยายามเน้นฝนด้านดีปรับปรุงด้านด้อย คนที่มีความเลื่อมใสในตนมักชอบปรับปรุงตนเอง รู้ว่ามีทางทำตนให้ดีขึ้นได้เสมอ โดยไม่ต้องแข่งขันกับคนอื่น แต่ระมัดระวังใส่ใจในตนเอง ไขว่คว้าหาด้านดีของตนเองมาชูชื่น
          4.) การรับผิดชอบต่อการกระทำของตน เป็นอีกทางหนึ่งของความเชื่อมั่นในตนเอง ถ้าตนเองทำอะไรลงไป แล้วมัวไปโทษคนอื่น หรือตราหน้าตนเองว่าเป็นคนล้มเหลว ก็จะเป็นคนที่ไม่เคยได้รับประสบการณ์แห่งความเชื่อมั่นในตน ถ้าทำอะไรผิดพลาด เมื่อขอโทษแล้วลองพยายามทำให้ดีขึ้น ไม่ยอมพ่ายแพ้หรือเลิกกลางคัน คนจะนับถือในความเข้มแข็งอีกต่างหาก
          5.) รับความจริงตามความเป็นจริง บางที่สิ่งต่างๆเกิดขึ้น โดยอยู่เหนือการควบคุม รับผิดชอบต่อปฏิกิริยาของตน ยอมรับว่านั่นเป็นประสบการณ์จริง เผชิญหน้าสถานการณ์นั้น บอกกับตนเองว่า ฉันยังมีค่า ต่อการใส่ใจในเรื่องนี้
          6.) มีความแตกต่างกันที่สำคัญเด่นชัด ระหว่างการเป็นคนดีที่มีข้อบกพร่องให้ปรับปรุงกับการเป็นคนเลิกล้มยอมพ่ายกลางคัน เมื่อชื่นชมสิ่งดีในบุคลิกภาพของตน แม้จะมองเห็นว่ามีข้อบกพร่อง ต้องพึ่งพาคนอื่น ก็ยังสามารถพอใจ ชอบพอตนเองอย่างแท้จริงได้ เช่นเดียวกับการคบเพื่อน ทั้งๆที่รู้ว่าเพื่อนเลว ก็ยังคบสมาคมกันได้ พร้อมก้าวไปข้างหน้าโดยการวางแผนพัฒนาความเคารพนับถือตน ที่เป็นตัวแทนสิ่งที่ดีที่สุดในตัวของตน ด้วยความเชื่อมั่นในตนระดับสูง
          จะเห็นได้ว่า การยอมรับตนเองตามความเป็นจริง รู้ว่าตนเองเป็นคนดี มีส่วนดี ยกด้านดีขึ้นมาใช้ให้เกิดการชอบตนเอง รับผิดชอบต่อความสามารถของตน ฝึกจนเกิดความเชื่อมั่นขึ้นในใจตน แสดงออกซึ่งความเชื่อมั่นในตนเอง ว่าตนเองก็มีความดี มีส่วนดีในการดำรงชีวิตและกระทำกิจการงาน คนที่ไม่ยอมรับสภาพความเป็นจริง มักรู้สึกว่าตนเองมีจุดด้อยกว่าคนอื่น การคิดเช่นตนเองแย่ ก็จะรู้สึกและปฏิบัติต่อตนเช่นนั้น คิดต่อตนอย่างไรก็จะมองตนเป็นเช่นนั้น การมองตนตามสภาพจริง มองด้านดีของตนจึงพลิกสถานการณ์ให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง
วิธีการสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
          นักปราชญ์ทางจิตศึกษา รู้จักการทำงานของจิตมนุษย์มาหลายพันปีแล้ว ได้แบ่งจิตของมนุษย์เป็น 3 ระดับ คือ
          1.) จิตสำนึก (Conscious mind)
          2.) จิตใต้สำนึก (Subconscious mind)
          3.) จิตเหนือสำนึก (Superconscious mind)
ในที่นี้จะขอกล่าวเฉพาะ จิตสำนึกและจิตใต้สำนึกเท่านั้น
          1.) จิตสำนึก มีหน้าที่ในการรับรู้ นึกคิด สั่งการ โดยอาศัยประสาทรับรู้ทั้งห้า คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ในการรับรู้ นึกคิด สั่งการ เช่น วันนี้ไปเดินที่ศูนย์การค้า เมื่อเดินผ่านร้านขายเสื้อผ้าเห็นเสื้อแบบที่ชอบแขวนไว้บอกว่าลดราคา 40% (รับรู้) รู้สึกอยากเป็นเจ้าของเสื้อตัวนั้น (นึกคิด) จึงหยิบเงินมาซื้อเสื้อ (สั่งการ)
          2.) จิตใต้สำนึก เป็นแหล่งบันทึกข้อมูลขณะคนไม่รู้ตัว คนที่มีความคิด นิสัยใจคอ พฤติกรรม มองตนเอง เช่นไร ก็เนื่องจากผลของจิตใต้สำนึกที่สะท้อนออกมา ข้อมูลที่ผ่านประสาททั้งห้าจะเข้าไปบันทึกในจิตใต้สำนึกโดยคนคนนั้นไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกไม่อาจแยกได้ว่าสิ่งนั้นดีหรือเลว ถูกหรือผิด บวกหรือลบ เมื่อได้รับข้อมูลว่าตนเป็นคนโง่ ก็จะเก็บข้อมูลว่า ฉันเป็นคนโง่ไว้ประหนึ่งพันธุ์พืชที่หว่านลงบนดิน ย่อมให้ผลเป็นพืชพันธุ์ที่เพาะหว่านนั้น
          เชื่อกันว่า จิตใต้สำนึกมีอำนาจเหนือจิตสำนึกของคนมากมาย ขณะที่จิตสำนึกมีพลังราวร้อยละเจ็ด จิตใต้สำนึกให้พลังอำนาจถึงร้อยละเก้าสิบสาม จิตใต้สำนึกเปรียบเสมือนก้อนน้ำแข็งที่ลอยน้ำ ส่วนพลังจิตสำนึกเปรียบได้กับส่วนของน้ำแข็งที่ลอยอยู่เหนือพื้นน้ำ ส่วนจิตใต้สำนึกเป็นส่วนของน้ำแข็งที่จมในน้ำ เมื่อมีความขัดแย้งระหว่างข้อมูลของจิตสำนึกกับจิตใต้สำนึก ข้อมูลจากจิตใต้สำนึกจะชนะเสมอ
          เมื่อเราเห็น ได้ยิน ได้สัมผัส จิตใต้สำนึกจะเก็บข้อมูลต่างๆไว้ตลอดเวลา โดยคนคนนั้นไม่รู้ตัว เวลาดูภาพยนตร์โฆษณาจากทีวี หรือโฆษณาจากหนังสือพิมพ์ ว่าการดื่นสุราเป็นความเท่ห์ มีความเป็นผู้กล้า คนส่วนมากจึงดื่มสุรา ทั้งๆที่จิตสำนึกรู้ว่าการดื่มสุราเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
          จิตใต้สำนึกจะรับข้อมูลผ่ายทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย โดยไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเป็นสิ่งดีหรือไม่ดี สร้างสรรค์หรือทำลาย ถูกต้องหรือไม่ แต่จะบันทึกเก็บไว้แล้วส่งผ่านไปกำหนดความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรมของเรา
          คนเราแตกต่างกันเนื่องจากจิตใต้สำนึกเก็บข้อมูลไว้ต่างกัน การทำงานของจิตสองชนิดนี้เปรียบเสมือนคนขี่ม้ากับม้าที่ถูกขี่ คนขี่ม้าเป็นผู้กำหนดทิศทางให้ม้าวิ่ง คนขี่ม้าไม่มีกำลังเท่าม้าที่ตนขี่ ส่วนม้ามีกำลังมหาศาล มีกำลังมากกว่าคนขี่ ม้าวิ่งไปตามการกำหนดของคนขี่ จิตสำนึกทำหน้าที่เหมือนคนขี่ม้า คือรู้เป้าหมาย รู้ความต้องการของตน แต่พลังของจิตสำนึกมีไม่เพียงพอนำไปสู่เป้าหมายได้ จึงต้องรู้จักนำพลังจากจิตใต้สำนึกซึ่งเปรียบเสมือนม้ามาช่วยทำงาน
          ดังนั้น เมื่อต้องการเปลี่ยนภาพลักษณ์ของตนเอง ก็ต้องเปลี่ยนแปลงข้อมูลในจิตใต้สำนึก เมื่อจิตใต้สำนึกเปลี่ยนแปลง จะนำไปสู่การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
การเผชิญหน้าความจริงกับสามารถสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง
          การสร้างความเชื่อมั่นในตนเอง ต้องกล้าเผชิญหน้า หาเหตุที่แท้จริง รู้สถานการณ์จริง มีแนวคิดของตนกับประสบการณ์จริงที่สอดคล้องกัน ถอดหน้ากากของตนออก พร้อมเผชิญความจริง ซึ่งจะได้อธิบาย ดังต่อไปนี้
          1.) การเผชิญหน้ากับการยอมรับความจริง
          คนมักหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้า ไม่ยอมรับความเป็นจริง เพื่อธำรงรักษาไว้ซึ่งภาพลักษณ์ที่ผิดพลาดไม่เป็นจริง คนชอบซ่อนความเป็นจริง เน้นประสบการณ์ที่ไม่ต่อเนื่องกับภาพลักษณ์ของตน ปฏิเสธที่จะยอมรับการกระทำหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ ลองหลับตานึกภาพความเป็นจริงที่ปัดป้องไม่เข้าใจ แล้วยอมรับความเป็นจริงของตนดู
          ปัญหา เริ่มขึ้นเมื่อเกิดบางอย่างที่ขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของตน ภาพลักษณ์ที่ตนรู้สึกว่าสำคัญต่อตน ตัวตนภายในจะขัดขวาง ความเชื่อมั่นในตนถูกคุกคาม พฤติกรรมเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดแก่ตนเอง เป็นผลให้เกิดความตึงเครียด ระส่ำระสายหรือความขัดแย้งขึ้นภายในตน ความผิดครั้งนี้อาจนำไปสู่ความเศร้าโศกเสียใจอย่างรุนแรง ถ้าความขัดแย้งขัดขวางต่อความเชื่อมั่นในตนอย่างขนานหนัก อาจโทษตนเองว่า เป็นเหตุให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้
          เมื่อเกิดขัดแย้งกับความเชื่อมั่นในตน ก็เป็นธรรมชาติที่คนพยายามเมินเฉย นี่เป็นเหตุผลว่าทำไม ถ้าสามารถแสร้างทำเป็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องจริง หรือทำให้เชื่อมั่นว่าตนเองไม่ได้เป็นเช่นนั้น ความเชื่อมั่นในตนสามารถถูกปกป้องไว้ได้ชั่วคราว เมื่อตนเองให้ความมั่นใจแก่ตนเองอย่างแข็งขันว่า ตนไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นได้ก็จะสร้างปัญหาขนาดหนักขึ้น ทำให้เกิดความเครียดในจิตใจยิ่งขึ้น ยิ่งใช้การเสแสร้งเช่นนี้มากเท่าใด ก็จะพบความเครียดมากขึ้นเท่านั้น ดังภาพที่แสดงประสบการณ์จริงกับแนวคิดแห่งตน ถ้าคิดเห็นไม่ตรงกับประสบการณ์ หรือไม่ยอมรับประสบการณ์อย่างที่เป็นจริง จะเกดความไม่สอดคล้อง ถ้าคิดถึงตนเองได้ใกล้ความเป็นจริงของประสบการณ์ จะมีความสอดคล้องในแนวคิดของตนได้ยิ่งขึ้น ดังภาพ

          จากภาพ แสดงให้เห็นว่า การไม่ยอมรับประสบการณ์ว่าเป็นส่วนหนึ่งของภาพลักษณ์ของตน เมื่อบริเวณที่แสดงประสบการณ์ปฏิเสธการยอมรับเป็นบริเวณกว้าง คนนั้น จะมีภาพลักษณ์ของตนที่ไม่จริง จะพบความเครียดในจิตระดับสูง เมื่อบริเวณนั้นน้อย เมื่อภาพลักษณ์ของคนกับประสบการณ์ทั้งหลายแทบเป็นภาพเดียวกัน ความเครียดจะต่ำ
          แทนที่จะปฏิเสธเหตุการณ์ หรือพฤติกรรมที่ไม่ต้องการตระหนักรับรู้ ขอให้ถนอมรักษาความเชื่อมั่นของตน โดยเผชิญหน้ากับความจริงที่เกิด ซึ่งขัดแย้งกับภาพลักษณ์ของตน ขอให้เข้าใจวิธีการและยอมรับความเป็นจริง ไม่ยอมให้การนับถือตนเองสั่นไหว
          ต้องเรียนรู้และยอมรับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแก่ตนเองตามสภาพจริง ภาพลักษณ์ของตนจะไม่ขัดแย้งกับประสบการณ์ชีวิตของตนเอง ตนเองจะชอบตนเอง จะชอบตัวตนที่เป็นอยู่ ความเครียดและความขัดแย้งที่ขัดต่อความเป็นจริงจะหายไป อุปสรรคในการสร้างความมั่นใจตนก็จะมลายหายไปด้วย นั่นคือ สามารถสร้างความมั่นใจในตนเองขึ้นมาได้
          2.) ถอดหน้ากาก
          คนจึงควรถอดหน้ากากออก บางครั้งคนสวมหน้ากาก เพื่อปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงของตน กระทำหรือเล่นบทบาทสร้างความประทับใจผิดๆ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขยายหรือมองตนต่อหน้าคนอื่น เพื่อให้รู้ ให้ปรากฏว่าดีกว่าตัวตนที่เป็นอยู่ เพื่อเป็นตัวตนที่แท้จริง เป็นตัวตนที่ตนเองยอมรับนับถือตนเองได้อย่างสนิทใจ จึงต้องถอดหน้ากากออก แสดงตัวตนที่แท้จริงออกไป เมื่อตัวตนที่แท้จริงปรากฏแล้ว ภายในรับรู้ตระหนักในประสิทธิชัยในตน ก็จะมีความเชื่อมั่นในตน
          3.) ผลของการขาดความเชื่อมั่นในตนเอง
          วัยรุ่นหญิงคนหนึ่ง มองตนเองว่าเป็นคนที่ไม่มีคนชอบ จึงไม่เข้าร่วมสังคมกับคนอื่น นักศึกษาที่คิดว่าตนไม่มีความสามารถในวิชาภาษาอังกฤษ ก็จะไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ คนที่มีภาพลักษณ์ของตนเองด้านลบหรือด้านบวกก็จะปฏิบัติต่อตนเองเช่นนั้น
          คนสามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตนเอง คือวิธีการมองตนเองได้ เมื่อเปลี่ยนวิธีมองตนเองจากด้านลบเป็นด้านบวก การกระทำหรือการปฏิบัติตัวก็เปลี่ยนแปลงไป
          นักศึกษาคนหนึ่ง เคยสะกดคำไม่ถูกถึงร้อยละเจ็ดสิบห้า อ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ค่อยได้ เมื่อเปลี่ยนแปลงการมองตนเอง การเรียนกลับได้ระดับสี่เกือบทุกวิชาในปีการศึกษานั้น นักเทนนิสไร้อันดับคนหนึ่งเมื่อเปลี่ยนการมองตนว่าเป็นคนเก่งเป็นคนมีความสามารถ ใช้เวลาในการไต่อันดับไม่นานก็เป็นนักเทนนิสอันดับต้นๆของโลก
          คุณค่าที่เรามอบให้แก่ตนเอง จะทำให้เราพึงจิตมั่นใจในด้านนั้น จะมีความเชื่อมั่นว่าสามารถในด้านนั้น เช่น
          1.) มีความเชื่อมั่นในการเล่นเทนนิส ก็จะมีความสามารถในการเล่นเทนนิส

          2.) เชื่อมั่นในการว่ายน้ำน้อย ก็จะไม่ค่อยมีสามารถในการว่ายน้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น