วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2559

บทที่ 9 ความต้องการของมนุษย์

บทที่ 9 ความต้องการของมนุษย์
ความหมายของการจูงใจ
          ดาลตัน,ฮอยเลอะและวอลล์ (Dalton, Hoyle and Walls, 2000, p. 56) นิยามคำว่า การจูงใจ (Motivation) ว่าเป็นการกระตุ้นทางอารมณ์ที่เป็นเหตุให้กระทำ การกระตุ้นอาจเป็นความจำเป็น หรือการขับเคลื่อนที่ให้พลังแก่พฤติกรรมในที่ทำงาน การจูงใจเป็นการผสมผสานขององค์ประกอบทั้งหลายในสภาพแวดล้อมการทำงานทีนำไปสู่แรงพลังทางบวกหรือทางลบ ถ้าเข้าใจว่าอะไรจะจูงใจได้ ก็จะยิ่งบรรลุเป้าหมายทางอาชีพและเป้าหมายส่วนตัวมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกัน ถ้าองค์การรู้วิธีจูงใจผู้ปฏิบัติงานก็สามารถเพิ่มผลิตภาพได้
          แชมพูยส์ (Champous, 2000, pp. 117-129) กล่าวว่า นักจิตวิทยาได้พัฒนาทฤษฎีแรงจูงใจขึ้นมาอธิบายว่า ทำไมคนจึงทำเช่นนั้น ไม่ทำเช่นนี้ ทฤษฎีต่างๆ มีสมมุติฐานต่างๆกัน ประการแรกมีสมมุติฐานว่าพฤติกรรมมีจุดเริ่มต้น ทิศทางและจุดสิ้นสุด ประการที่สองพฤติกรรมเป็นการกระทำอย่างสมัครใจอยู่ภายใต้การควบคุมของคนคนนั้น ทฤษฎีเหล่านี้พยายามอธิบายว่าทำไมคนจึงอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่อ่านเล่มอื่น ชอบไปซื้อของที่ร้านนี้มากกว่าร้านอื่น นักจิตวิทยาไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่ทำอย่างสมัครใจหรือเป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น การหายใจ การกระพริบตา ประการที่สามมีสมมุติฐานว่าพฤติกรรมไม่ใช่การเดาสุ่ม แต่มีเป้าประสงค์และทิศทางที่เฉพาะเจาะจง นั่นคือพฤติกรรมของคนเกิดจากการจูงใจ ซึ่งสามารถทำการจูงใจได้เนื่องจากมีแรงไปกระทบกับความต้องการของคน ดังภาพ

          ดังนั้น การจูงใจจึงเป็นกระบวนการทางจิตวิทยาที่บอกเหตุสิ่งเร้า ทิศทางและการกระทำอย่างสมัครใจที่คงเส้นคงวาที่มุ่งสู่เป้าหมาย โดยเลือกความต้องการหรือความจำเป็นมากระตุ้น ให้เกิดพฤติกรรมตามเป้าหมายที่ประสงค์
          การรู้ทฤษฎีที่แตกต่างกัน ทำให้รู้เนื้อหาของพฤติกรรมบางอย่างของตน และคนอื่นได้ทฤษฎีเหล่านี้ ยังเสนอทางที่ฝ่ายจัดการตัดสินใจที่กระทบทิศทางทางความประพฤติของคนอื่น จากมุมมองของฝ่ายบริหาร ทฤษฎีเหล่านี้ช่วยให้ฝ่ายบริหารสร้างและจัดการระบบการจูงใจ ให้แนวคิดเพื่อการวิเคราะห์วินิจฉัยปัญหาการจูงใจในองค์การอีกด้วย
          นอกจากองค์การจะสร้างระบบการจูงใจขึ้นมา ระบบนี้จะมีสมมุติฐานว่าอะไรจะกระทบต่อพฤติกรรม อะไรจะสำคัญต่อผลของการปฏิบัติงาน ดัง บาร์รอน (Baron, 1986, p. 73) อธิบายว่าองค์การจะเลือกความจำเป็นหรือความต้องการของผู้ปฏิบัติงาน แล้วตอบสนองความต้องการนั้น ซึ่งหวังผลว่า จะให้พฤติกรรมอันพึงประสงค์เพื่อส่งผลไปสู่เป้าหมายที่กำหนด ดังภาพ


          อนึ่ง การใช้การจูงใจอย่างได้ผลนั้น นอกจากใช้ทฤษฎีการจูงใจแล้ว ต้องคำนึงถึงปัจจัยนำเข้า เช่น เวลา แรงพลัง การศึกษา ประสบการณ์ การฝึกอบรม เจตคติ และความสามารถด้วยจึงจะมีประสิทธิผล ดังภาพ

ทฤษฎีอนามัย-แรงจูงใจของเฮอร์สเบอร์ก
          ทฤษฎีอนามัย-แรงจูงใจของเฟรดเดอริก เฮอร์สเบอร์ก ไม่ได้อยู่บนฐานตรงของความจำเป็นทั้งไม่ได้เข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับทฤษฎีพฤติกรรมและความรู้ที่บรรยายในตอนต่อไป เป็นประโยชน์ในฐานะการถ่ายเปลี่ยน ระหว่างทฤษฎีที่มีฐานแห่งความจำเป็นบริสุทธิ์กับทฤษฎีที่มีฐานบนกระบวนการทางพฤติกรรมและความรู้
          ในการพัฒนาทฤษฎีของตน เฮอร์สเบอร์กทำการวิจัยใช้นักบัญชีวิศวกรเป็นตัวอย่าง จะสัมภาษณ์และถามแต่ละคนให้ระลึกถึงเหตุการณ์งานที่ผ่านมา ว่าเป็นบวกหรือเป็นลบโดยเฉพาะแล้ววิเคราะห์เนื้อหาคำสัมภาษณ์นั้นเพื่อดูความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเหตุการณ์และเรื่องราวด้านบวกด้านลบของงานหรืองานองค์การ
          เฮอร์สเบอร์กพบว่า รายงานของเหตุการณ์ด้านลบมีเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับบริบทของงานของบุคคล รายงานด้านลบรายงานนโยบายบริษัท การบริหาร สภาพการทำงาน และการควบคุมดูแลมากกว่ารายงานเหตุการณ์ด้านบวก รายงานด้านบวกบรรยายเนื้อหาของงาน ความรู้สึกของสัมฤทธิผลและความรู้สึกของความรับผิดชอบ มีการเอ่ยถึงเงินเดือนเป็นอัตราส่วนเดียวกันในทั้งรายงานด้านบวกและด้านลบ
          เฮอร์สเบอร์กเรียกรายการที่พบในคำบรรยายเหตุการณ์ด้านลบว่า ตัวสร้างความไม่พึงพอใจ เรียกสิ่งที่พบในคำบรรยายด้านบวกว่า ตัวสร้างความพึงพอใจ ตัวสร้างความไม่พึงพอใจจะนำผู้ปฏิบัติงานไปสู่ความไม่พึงพอใจระดับสูง ถ้าฝ่ายจัดการปรับปรุงตัวสร้างความไม่พึงพอใจ ผู้ปฏิบัติงานจะรู้สึกลดความไม่พึงพอใจ แต่ไม่ทำให้ความพึงพอใจสูงขึ้น ตัวสร้างความพึงพอใจจะนำไปสู่ระดับความพึงพอใจสูง แต่การไม่พบหรือความล้มเหลวของบุคคลที่ประสบจะไม่ผลิตความไม่พึงพอใจ
          การสังเกตของเฮอร์สเบอร์ก เรื่องความพึงพอใจกับความไม่พึงใจแตกต่างไปจากทัศนะโดยทั่วไปที่มองกัน ทัศนะแบบดั้งเดิมเห็นความพึงพอใจกับความไม่พึงพอใจอยู่ปลายสุดด้านหนึ่ง และเห็นความไม่พึงพอใจอยู่อีกสุดปลายหนึ่ง งานวิจัยของเฮอร์สเบอร์กเสนอว่าทั้งสองอย่างอยู่คนละส่วนกัน ส่วนความพึงพอใจ กับส่วนความไม่พึงพอใจ กล่าวสั้นๆ เนื้อหาที่แตกต่างกันของประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานเกื้อหนุนต่อความพึงพอใจและความไม่พึงพอใจแยกส่วนกัน ดังภาพ
ปัจจัยจูงใจ
ที่มาของการจูงใจและความพึงพอใจในงาน
ปัจจัยอนามัย
ที่มาของการจูงใจและความไม่พึงพอใจในงาน
1.) ความท้าทายของผลงาน
2.) ความรับผิดชอบ
3.) ความยอมรับผิดชอบ
4.) ความสัมฤทธิ์
5.) ความก้าวหน้าในงาน
6.) ความเจริญในวิชาชีพ
1.) เงื่อนไขทางกายภาพ
2.) นโยบายของบริษัท
3.) คุณภาพการควบคุมดูแล
4.) ความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
5.) เงินเดือน-ค่าตอบแทน
6.) สถานะ : ตำแหน่ง
7.) ความมั่นคงในงาน
8.) ชีวิตส่วนตัว
          เฮอร์สเบอร์กยังเรียกตัวสร้างความพึงพอใจว่า ปัจจัยจูงใจ ส่วนปัจจัยสร้างความไม่พึงพอใจว่า ปัจจัยอนามัย ปัจจัยจูงใจมี ความสัมฤทธิ์ การยกย่องและตัวงานเอง ผู้จัดการและตัวงานเอง ผู้จัดการประการแรกต้องปรับปรุงเงื่อนไขอนามัยก่อน (นั่นคือ นโยบายบริษัท การบริหาร คุณภาพการควบคุมดูแล และสภาพการทำงาน) ก่อนพยายามเพิ่มการจูงใจ เมื่อบริบทของงานที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว ผู้จัดการจึงสามารถให้ตัวจูงใจ โดยการออกแบบที่ใช้กระบวนการที่เฮอร์สเบอร์กเรียกว่าการเพิ่มพูนงาน โดยการเพิ่มความรับผิดชอบและอิสระในการทำงานด้วยตนเองแก่งาน ผู้จัดการจึงสร้างโอกาสให้ผู้ปฏิบัติงานได้ประสบการณ์กับปัจจัยจูงใจ
ทฤษฎีบุคลิกภาพมนุษย์ของเมอร์เรย์ : แนวคิดแห่งความจำเป็น
          ทฤษฎีบุคลิกภาพมนุษย์ของเมอร์เรย์ เมอร์เรย์มีความคิดว่ามนุษย์จะปรับตัวเมื่อเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่เคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมมนุษย์มีเป้าหมายเป็นเครื่องนำทางและมีเป้าประสงค์ ทั้งองค์ประกอบภายในตน (ความต้องการ) กับองค์ประกอบภายนอกคือสภาพแวดล้อมเป็นตัวคุมพฤติกรรมของมนุษย์ คนเรียนรู้จากปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมภายนอกและจากประสบการณ์เดิม คนนึกไว้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรในลำดับต่อไป อนาคตจะเป็นอย่างไร ในทัศนะของเมอร์เรย์ นักศึกษามหาวิทยาลัยจะมีความคิดว่าชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นเช่นไร บนฐานของระบบการศึกษาที่ประสบมาก่อนหน้านั้น เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย จะพัฒนาการคิดล่วงหน้าเกี่ยวกับประสบการณ์อนาคตของตนในมหาวิทยาลัย
          แนวคิดความจำเป็นเป็นฐานเบื้องต้น การอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ของเมอร์เรย์ ความจำเป็นแนวคิดเชิงข้อสันนิษฐานที่ใช้ในการอธิบายความแตกต่างที่สังเกตได้ระหว่างพฤติกรรม ของเอกัตบุคคลที่แตกต่างกันหรือของคนเดียวกันแต่ต่างเวลากัน
          ทฤษฎีนี้ แบ่งความจำเป็นออกเป็น 2 ส่วน
          1.) ความจำเป็นทางร่างกาย เป็นความพึงพอใจเกี่ยวกับกระบวนการพื้นฐานทางร่างกายมนุษย์ เช่น ต้องการอาหาร น้ำ อากาศ เพศ
          2.) ความจำเป็นทางจิต เน้นความพึงพอใจด้านอารมณ์
ลักษณะความจำเป็น
          ความจำเป็น เป็นลักษณะแฝงเร้นภายใน จะมีชีวิตชีวาขึ้นมาได้ก็โดยการกระตุ้นหรือเย้าประสบการณ์ของคนคนนั้น คนพยายามประพฤติเพื่อสนองตอบความจำเป็นที่กระตุ้น ถ้ามีความเป็นมิตรสูง แล้วพบกับคนที่รู้จักชอบพอกำลังเดินอยู่ในมหาวิทยาลัยก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยกันกับคนนั้น
          ความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจำเป็นที่ตรงกันข้าม อาจแสดงให้เห็นเป็นช่วงจังหวะตามควรแก่เวลา ผู้จัดการเป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ต้องแสดงออกทางพฤติกรรมให้ตอบสนองความพึงพอใจความจำเป็นที่ตรงข้ามสองอย่าง ผู้จัดการอาจใช้การยึดกุมคืออกคำสั่งแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ตนเองก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของคนอื่นในองค์การเดียวกัน จึงต้องใช้ความจำเป็นในการคล้อยตาม แม้ความจำเป็นทั้งสองจะตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
          ความจำเป็นที่ตรงข้ามกันนี้ ยังมีประโยชน์ในการเข้าใจพฤติกรรมที่ขัดแย้งกันหรือเป็นปริศนา คนหนึ่งอาจพึงพอใจความจำเป็นการยึดกุมในงานกิจกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามีตำแหน่งฝ่ายบริหารหรือหัวหน้างาน คนเดียวกันนี้อาจละทิ้งบทบาทความเป็นผู้นำในชีวิตที่ไม่ใช่การทำงานโดยการเลือกที่จะทำตามคนอื่น (ความจำเป็นเพื่อการคล้อยตาม) ดังภาพ
ความจำเป็น
ปรารถนาที่จะ
แสวง
ระเบียบ
ผลสัมฤทธิ์
การยอมรับ
การแสดงออก
การยึดกุม
การคล้อยตาม
การเป็นตัวของตัวเอง
ความเป็นมิตร
การทนุถนอม
ได้ทรัพย์สมบัติ วัตถุข้าวของ
จัดข้าวของวัตถุให้เป็นระบบเรียบร้อย สะอาด สะดวก ประณีต
ได้รับตามเป้าหมาย ผลปฏิบัติงานได้ตามที่พึงได้
ได้รับความเชื่อถือจากการกระทำ แสวงหาเกียรติและการยอมรับ
การเรียกร้องความสนใจ
คำสั่ง การควบคุม การมีอิทธิพลต่อคนอื่น ผลกระทบต่อทิศทางของกลุ่ม
การเคารพอำนาจหน้าที่ ยอมรับคนที่มีอำนาจหน้าที่
การเป็นอิสระไม่อยู่ในอิทธิพลหรืออำนาจของใคร
เข้ากันได้กับคนอื่น มีเพื่อน เข้าร่วมกลุ่มได้
ช่วยเหลือคนอื่น ให้ความช่วยเหลือ ปรับปรุงสภาพ
          พฤติกรรมของคนมักจำเป็นความจำเป็นหลายอย่าง ความจำเป็นหนึ่งอาจเป็นพื้นฐานของพฤติกรรมหนึ่ง ความจำเป็นอื่นๆหนุนความจำเป็นพื้นฐานนั้น ถ้าเลือกเข้าร่วมระบบอาวุโสในมหาวิทยาลัย อาจต้องแสวงหาความจำเป็นเพื่อความเป็นมิตร ถ้าเชื่อว่าบันทึกกิจกรรมนอกหลักสูตรในมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งจำเป็นในการได้งานหลังสำเร็จการศึกษา ความจำเป็นเบื้องต้นก็อาจเป็นความจำเป็นเป็นเพื่อผลสัมฤทธิ์ โดยต้องการความจำเป็นเพื่อความเป็นมิตรในการผลักดันให้ได้เข้าไปร่วมองค์การนิสิตนักศึกษา
การใช้ทฤษฎีของเมอร์เรย์ในองค์การ
          ทฤษฎีของเมอร์เรย์ให้คำอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ ให้ได้เข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ของคนอื่นในองค์การ จะใช้ทฤษฎีนี้ในบริบทนี้ได้อย่างไร
          สิ่งแรกก็คือ ต้องใช้ความจำเป็นจำนวนมาในการก่อแบบและชี้ทิศทางพฤติกรรม คนมีความจำเป็นไม่เท่ากัน ความจำเป็นแต่ละอย่างเป็นความจำเป็นไม่เหมือนกันในแต่ละคน
          ความจำเป็น สามารถชี้ทิศทางไปสู่พฤติกรรมบางอย่าง ไม่ทำบางอย่าง ผู้จัดการในองค์การมักควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของตนโดยการชี้ทิศทางให้แก่พฤติกรรม โดยการเข้าใจว่าโครงสร้างความต้องการของเอกัตบุคคลจะกระทบต่อปฏิกิริยาของผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั้นๆอย่างไร ผู้จัดการจึงสามารถมีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของคนนั้นอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนที่มีความจำเป็นให้ได้รับการยอมรับ จะตอบโต้อย่างดีต่อคำยกย่องของหัวหน้างาน
          เรามักประหลาดใจในพฤติกรรมของคนอื่น เนื่องจากการคิดว่าคนคนนั้นมักเป็นเช่นนั้นเป็นเช่นนี้อยู่อย่างนั้น อาจทำงานกับคนที่คิดว่า ชอบอยู่คนเดียว คนคนนี้จะคบค้าสมาคมกับคนไม่มากนัก อย่างไรก็ตามคนเดียวกันนี้ อาจมีความจำเป็นเพื่อผลสัมฤทธิ์สูง กับความจำเป็นแห่งความเป็นมิตรมาก ความจำเป็นประการหลังนี้จะกระทำการรับใช้ความจำเป็นผลสัมฤทธิ์ ทฤษฎีของเมอร์เรย์ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมที่เป็นปริศนาเช่นนี้
ทฤษฎีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ของแมคคลิลแลนด์
          เดวิด ซี แมคคลิลแลนด์กับพวกได้ศึกษาบทบาทของความจำเป็นเพื่อสัมฤทธิ์ผล ความจำเป็นสำหรับอำนาจและความจำเป็นสำหรับความเป็นมิตรในการตัดสินพฤติกรรมมนุษย์
          คนที่มีความจำเป็นสำหรับสัมฤทธิ์ผลแข็งกล้า จะรับผิดชอบผลของพฤติกรรมของตนและต้องการแก้ไขปัญหา คนเช่นนั้นชอบค้นหาทางเอาชนะอุปสรรค ต้องการความสำเร็จ แต่ก็ยังอยากคำนึงถึงความเสี่ยง คนที่อยากได้สัมฤทธิ์ผลสูงจะวิเคราะห์สถานการณ์ พยายามเข้าใจโอกาสแห่งความสำเร็จ ตั้งเป้าหมายแห่งความสำเร็จระดับปานกลางไว้เพื่อตนเอง เป้าหมายเหล่านั้นเข้าถึงได้ไม่ง่ายหรือไม่ยากเกินไป คนเหล่านี้ชอบกำหนดมาตรฐานผลการปฏิบัติงานสำหรับตนเองและไม่คำนึงแรงจูงใจจากภายนอกเท่าใดนัก มักแสวงหาสถานการณ์ที่ยอมพาไปตอบสนองสัมฤทธิ์ผล ชอบงานที่ไม่ประจำซ้ำซากกว่างานประจำซ้ำซาก มองหาและยินดีรับคำติชมงานที่ตนได้ทำ ทักษะ ความสามารถ และการฝึกอบรมทั้งหลายทั้งปวงรวมเข้าเป็นผลการปฏิบัติงานของคนที่มุ่งแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ผล ผู้ที่ได้รับแรงจูงใจอย่างสูงย่อมมีความสามารถสูงจะทำงานได้ดีกว่าที่ได้รับแรงกระตุ้น แต่มีความสามารถต่ำกว่า ดังภาพ

ความต้องการ
ลักษณะ
1.) สัมฤทธิ์ผล
- ชอบเป้าหมายปานกลาง
- ตอบกลับทันที
- รับผิดชอบปัญหา
2.) มิตรสัมพันธ์
- สร้างและปรึกษาความเป็นมิตร
- ต้องการความรักจากคนอื่น
- ชอบงานเข้าสังคม
- ชอบมีส่วนร่วมในกลุ่ม
3.) อำนาจ
- ชอบสถานที่ที่แข่งขัน
- ชอบเผชิญหน้าคนอื่น
- ชอบครอบงำคนอื่น
          สำหรับอำนาจ รูปแบบที่หนึ่งของการแสดงออกใช้การครอบงำส่วนบุคคล ความก้าวร้าวทางกายภาพและการให้ตักตวงประโยชน์ คนที่เรียนรู้ที่จะแสดงออกซึ่งความจำเป็นสำหรับอำนาจวิธีนี้ มองสถานการณ์จากมุมมองแบบชนะ-แพ้ พวกเขาจะต้องชนะส่วนฝ่ายอื่นต้องแพ้ แมคคลิลแลนด์ไม่รู้สึกว่าพฤติกรรมอำนาจเช่นนั้นจะส่งผลให้ความเป็นผู้นำที่องค์การต้องประสงค์
          รูปแบบที่สองของการแสดงออกโฟกัสไปที่การชักชวนและการมีอิทธิพลระหว่างบุคคล คนพยายามปลุกเร้าความเชื่อมั่นในผู้ซึ่งตนต้องการมีอิทธิพลเหนือ ถ้าคนนั้นแสดงความจำเป็นสำหรับอำนาจในวิธีเช่นนี้จะเป็นหัวหน้ากลุ่ม เขาจะบอกเป้าหมายของกลุ่มไว้ชัด แล้วชักชวนสมาชิกให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น พลังอิทธิพลของเขาจะเน้นความสามารถของสมาชิกกลุ่มที่จะบรรลุเป้าหมาย ทั้งพยายามพัฒนาความเชื่อขึ้นในหมู่
สมาชิกตามสมรรถนะ อำนาจสองประเภทนี้แมคคลิลแลนด์รู้สึกว่าประเภทที่สองจะให้ลักษณะผู้นำที่มีประสิทธิผลแก่องค์การ
          ผู้ที่มีความจำเป็นสำหรับความเป็นมิตรสูง จะโฟกัสไปที่การสร้างและธำรงรักษา เก็บรักษาความสัมพันธ์ทางบวกกับคนอื่นๆ ต้องการความสัมพันธ์ที่อบอุ่นใกล้ชิดกับคนอื่นๆ คนประเภทนี้แสวงหาการยอมรับของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากผู้ที่ตนเป็นห่วง คนที่มีความจำเป็นสำหรับความเป็นมิตรสูงจะชอบพอผู้คน ต้องการให้คนอื่นชอบพอตน ต้องการเข้าหมู่เข้าพวกกับคนอื่นๆ เป็นคนที่สนุกกับการทำงานเป็นทีม


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น